จุดเริ่มต้นธุรกิจของ “อายิโนะโมะโต๊ะ” เกิดจากการค้นพบรสชาติ “อูมามิ” โดย ศ.ดร.คิคุนาเอะ อิเคดะ แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว จากข้อสงสัยที่ว่าทำไมน้ำซุปที่ได้จากการต้มสาหร่ายทะเลคมบุจึงมีรสชาติอร่อยกลมกล่อม จนนำไปสู่การไขความลับที่ว่า “กลูตาเมต” (Glutamic Acid) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง คือที่มาของรสชาติดังกล่าว กระทั่งเกิดเป็นอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องปรุงรสอูมามิแห่งแรก ณ ประเทศญี่ปุ่นในปี พ.ศ. 2452 ภายใต้ชื่อ “อายิโนะโมะโต๊ะ” โดย บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ โค., อินค์. ประเทศญี่ปุ่น
51 ปีต่อมา ฐานการผลิตผงชูรสแห่งแรกนอกประเทศญี่ปุ่น ได้ถือกำเนิดขึ้นในประเทศไทย ณ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ภายใต้ชื่อ บริษัทอายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งได้จดทะเบียนอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2503 ถัดจากนั้นในปี พ.ศ. 2505 จึงมีพิธีเปิดโรงงานพระประแดงอย่างเป็นทางการ และเริ่มการผลิตผงชูรส “อายิโนะโมะโต๊ะ” โดยใช้แป้งมันสำปะหลัง ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต และเป็นจุดกำเนิดที่ทำให้ “ผงชูรสอายิโนะโมะโต๊ะ” เป็นที่รู้จักในเกือบทุกครัวเรือนของเมืองไทย
พ.ศ. 2516 ได้จัดทำหนังสือตำรับอาหารและการเรือน “แม่บ้านในฝัน” ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อเป็น “แม่บ้านที่รัก” เพื่อเผยแพร่ความรู้และสารประโยชน์ทางด้านโภชนาการ และใน พ.ศ. 2522 โรงงานพระประแดงเริ่มผลิตเครื่องปรุงรสในชื่อ “รสดี” พร้อมเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันครอบคลุมทั้งเครื่องปรุงรส เครื่องดื่ม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารแช่แข็ง ภายใต้แบรนด์ผงชูรสอายิโนะโมะโต๊ะ, รสดี, ทาคูมิ อายิ, เบอร์ดี้, ไลท์ ชูการ์, ยำยำ, พลัส+, เกี๊ยวซ่า, ไก่ทอดคาราอาเกะ สไตล์ญี่ปุ่น รวมถึง ไก่ทอดชิคเก้นสตาร์
ไม่เพียงเท่านั้นยังใช้ศาสตร์แห่งกรดอะมิโน (AminoScience) ซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจ จนเรียกได้ว่าเป็น “DNA” ของอายิโนะโมะโต๊ะ มาต่อยอดผลิตภัณฑ์ที่เป็นมากกว่าเครื่องปรุงรสสู่การผลิตฉนวนฟิล์มสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เช่น โทรศัพท์มือถือ และเครื่องคอมพิวเตอร์ จนขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งในตลาดฉนวนฟิล์ม เพราะฉะนั้นแม้จะไม่ได้ใช้ผงชูรส ไม่ได้เป็นลูกค้าของแบรนด์เบอร์ดี้ ยำยำ หรือรสดีก็ตาม แต่เชื่อว่าในแล็ปท็อปหรือโทรศัพท์มือถือ เราอาจเป็นลูกค้าของอายิโนะโมะโต๊ะไปแล้วโดยไม่รู้ตัว
ปลายปี 2566 ที่ผ่านมา อายิโนะโมะโต๊ะ ประเทศไทย ออกมาสร้างความเคลื่อนไหวอีกครั้ง ด้วยการประกาศกลุ่มธุรกิจใหม่เพื่อบุกตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพอย่างเต็มตัว โดยยังคงยึดหลักของ “ศาสตร์แห่งกรดอะมิโน” ตาม Global Policy ของอายิโนะโมะโต๊ะกรุ๊ป เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านทางธุรกิจครั้งสำคัญ ในการเดินหน้าสู่ผู้นำในการสร้างความอยู่ดีมีสุขให้กับผู้คน ตามเป้าหมายด้านความยั่งยืนปี 2573 ของกลุ่มบริษัทฯ ที่ต้องการสร้างสุขภาพที่ดีให้ผู้คน 1,000 ล้านคนทั่วโลก และส่งเสริมความยั่งยืนด้วยการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินธุรกิจ 50%
ซึ่งกลุ่มธุรกิจใหม่ครั้งนี้อยู่ภายใต้การนำของ “วันนเรศวร์ สุขีลักษณ์” กับตำแหน่ง ผู้จัดการแผนกธุรกิจใหม่ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารรุ่นใหม่ที่น่าจับตา
วันนเรศวร์ เปิดเผยกับ “ผู้จัดการ 360 องศา” ว่า อายิโนะโมะโต๊ะกรุ๊ปถือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์แห่งกรดอะมิโน เพราะเป็นจุดตั้งต้นในการทำธุรกิจ อีกทั้งอายิโนะโมะโต๊ะ ประเทศญี่ปุ่น ยังมีการศึกษาวิจัยเรื่องกรดอะมิโนมาอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นความเชี่ยวชาญที่สามารถนำมาต่อยอดในการสร้างผลิตภัณฑ์เสริมอาหารให้กับผู้คนมีสุขภาพที่ดีขึ้นได้ ซึ่งการนำกรดอะมิโนมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพนอกจากจะเป็นการเสริมสร้างและแก้ปัญหาสุขภาพของผู้คนในสังคมได้แล้ว ในอีกทางหนึ่งก็เป็นการสร้างการเติบโตให้กับอายิโนะโมะโต๊ะด้วยเช่นกัน
สำหรับในประเทศไทยกลุ่มธุรกิจใหม่นี้จะโฟกัสที่ 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ 1. Sport Nutrition หรือโภชนาการการกีฬา และ 2. Health Nutrition โภชนาการเพื่อเสริมสร้างสุขภาพ
โดยได้ประเดิมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Health Nutrition ตัวแรกไปแล้วเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา ในชื่อ “อะมิโนมอฟ” (AminoMOF) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกรดอะมิโนผสมคอลลาเจนจากประเทศญี่ปุ่นไป เพื่อเจาะกลุ่มผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องกล้ามเนื้อและรองรับสังคมสูงวัยของเมืองไทย ถือเป็นผลิตภัณฑ์แรกจากกว่า 10 ผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มอาหารเสริมที่วางแผนจะเปิดตัวภายในปี 2573
วันนเรศวร์ เปิดเผยต่อว่าจุดเด่นของ “อะมิโนมอฟ” คือการใช้ LEAA หรือกรดอะมิโนลิวซีนที่เหมาะกับผู้สูงวัย และกรดอะมิโนจำเป็นอีก 8 ชนิดที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ในปริมาณที่สูงถึง 3,000 มิลลิกรัม พร้อมคอลลาเจนเปปไทด์ เพื่อช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อ ลดการสลายตัวของโปรตีนในกล้ามเนื้อ และฟื้นฟูข้อต่อในผู้สูงอายุ
“ข้อมูลสถิติประชากรจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ พ.ศ. 2565 พบว่า ประชากรไทยที่มีอายุมากกว่า 60 ปี มีจำนวนประมาณ 20% หรือ 12 ล้านคนจากคนไทยทั่วประเทศ 65 ล้านคน โดย 1 ใน 3 หรือจำนวน 4 ล้านคนของผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ประสบปัญหาหรือเริ่มมีภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย ซึ่งส่งผลต่อสมรรถภาพทางกายและการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดที่ตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าวได้อย่างตรงจุด จากศักยภาพและโอกาสทางการตลาดดังกล่าว เราจึงสร้างสรรค์ ‘อะมิโนมอฟ’ ให้เป็นตัวช่วยในการเสริมสร้างและคงสภาพของมวลกล้ามเนื้อ รวมทั้งทำหน้าที่ในการพยุงกระดูกและข้อต่อ เตรียมความพร้อมตั้งแต่ก่อนย่างเข้าและเมื่ออยู่ในวัยสูงอายุ”
ในส่วนของกลุ่ม Sport Nutrition อายิโนะโมะโต๊ะใช้กรดอะมิโน BCAAs ที่จำเป็นต่อการฟื้นฟูกล้ามเนื้อที่สึกหรอ นำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อช่วยฟื้นฟูและเสริมความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อสำหรับนักกีฬาและผู้ที่รักการออกกำลังกาย โดยมีเจลพลังงานภายใต้แบรนด์ “อะมิโนไวทัล” (aminoVITAL) ซึ่งเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในญี่ปุ่น มาเป็นผลิตภัณฑ์เรือธง
แต่ก่อนหน้านี้ทางอายิโนะโมะโต๊ะได้มีการนำ Ajinomoto aminoVITAL Jelly Blue Pouch เจลพลังงานซึ่งมีส่วนผสมของกรดอะมิโน 3,000 มิลลิกรัม เข้ามาขายในเมืองไทยตั้งแต่ปี 2562 เพื่อเป็นการชิมลางตลาดไปก่อนแล้ว เพราะ ณ ขณะนั้น ตลาด sport nutrition ยังถือว่ามีขนาดเล็ก
กระทั่งตลาดมีการเติบโตและได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคมากขึ้น ประกอบกับนโยบายจากบริษัทแม่ในการผลักดันผลิตภัณฑ์เสริมอาหารให้เติบโต โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่า ภายในปี 2573 ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากกรดอะมิโนจะต้องมีสัดส่วน 50% ของพอร์ตฯ ทั้งหมดของอายิโนะโมะโต๊ะ
นั่นทำให้ อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) ประกาศเดินเครื่องผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอาหารเสริมอย่างเต็มกำลัง ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์อื่นๆ ตามมาอย่างต่อเนื่อง ทั้ง aminoVITAL Red Shot เจลพลังงานที่กินระหว่างออกกำลังกาย เพื่อให้พลังงานและป้องกันกล้ามเนื้อที่ถูกทำลายระหว่างออกกำลังกาย และล่าสุด aminoVITAL Blue Shot สำหรับกินหลังออกกำลังกาย เพื่อให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภค
“ในช่วงแรกเราเน้นออกสินค้าสำหรับการออกกำลังกายหรือกีฬาหนักๆ เช่น นักวิ่งมาราธอน แต่หลังจากนี้จะค่อยๆ พัฒนาสินค้าให้หลากหลาย และขยายกลุ่มผู้บริโภคให้กว้างขึ้น เพราะเป้าหมายของอายิโนะโมะโต๊ะคือการรณรงค์ให้คนออกกำลังกายเพื่อให้มีสุขภาพที่ดี”
ปัจจุบันแบรนด์ aminoVITAL มีสินค้าทั้งหมด 5 ตัว และสามารถก้าวมาเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในหมวดสินค้าเจลพลังงานที่มียอดขายมากที่สุดในช่องทางอีคอมเมิร์ซของเมืองไทย
ด้านการตลาดนั้นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทั้ง 2 กลุ่มจะเน้นทำการตลาดโดยเจาะไปที่คอมมูนิตี้ของกลุ่มเป้าหมายโดยตรง ทั้งกลุ่มของนักกีฬาและผู้สูงวัย เพื่อศึกษาความต้องการของผู้บริโภค พร้อมใช้อินฟลูเอนเซอร์และผู้เชี่ยวชาญเป็นกระบอกเสียงในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ส่วนช่องทางจำหน่ายหลักยังเป็นอีคอมเมิร์ซและพาร์ตเนอร์ที่เป็นร้านขายอุปกรณ์กีฬา
“ตลาดนี้ถือเป็น Blue Ocean ยังไม่มีคู่แข่งโดยตรง ส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหารที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ยังไม่มีที่เข้าไปช่วยแก้ปัญหาโดยตรง ตอนนี้พอร์ตฯ ในธุรกิจใหม่ยังน้อยอยู่จึงเน้นช่องทางอีคอมเมิร์ซเป็นหลัก ถ้าพอร์ตฯ เต็ม มีสินค้าที่หลากหลายน่าจะมีโอกาสไปเสนอตามโมเดิร์นเทรด”
ทั้งนี้ ข้อมูลจากปี 2565 ระบุว่าตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพในประเทศไทยมีมูลค่า 30,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสำหรับผู้สูงอายุที่ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์อาหารเสริมกระดูก ข้อต่อ และทดแทนมื้ออาหาร มีมูลค่า 10,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของตลาดรวม
นอกจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารข้างต้นแล้ว ภายใต้กลุ่มธุรกิจใหม่อายิโนะโมะโต๊ะยังได้ขยายธุรกิจจากผู้ผลิตอาหารสู่การบริการ โดยจับมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาแอปพลิเคชันบนมือถืออย่าง “Invitrace” พัฒนาแอปพลิเคชันและบริการในชื่อ “i-LiveWell” แพลตฟอร์มกินดีมีสุขฉบับมนุษย์เงินเดือน เพื่อรุกตลาดการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันที่มีมูลค่าสูงถึง 243 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ภายในแอปฯ “i-LiveWell” จะมีฟีเจอร์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับสุขภาพกายและใจ รวมถึงกิจกรรมเพื่อเสริมสุขภาพ เพื่อให้องค์กรรู้สถานะด้านสุขภาพของคนในองค์กร และสามารถนำไปวางแผนในการพัฒนาต่อไปในอนาคต ซึ่งในระยะแรกจะเน้นโมเดลธุรกิจแบบ B2B โดยเตรียมเจาะ 50 บริษัททั่วไทยที่มีนโยบายเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพของพนักงาน ตั้งเป้ามีพนักงานผู้ใช้งานกว่า 3,000 คน ภายในปี 2568
ปัจจุบัน อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) มีผลประกอบการประมาณ 32,000 ล้านบาท เป็นเบอร์ 8 ของกลุ่มธุรกิจผู้ผลิตอาหาร ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ที่ทำรายได้หลักและครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงที่สุดคือ ผงชูรสอายิโนะโมะโต๊ะ 93% รสดี 89% และกาแฟกระป๋องเบอร์ดี้ 53% ในขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริมกรดอะมิโนสร้างการเติบโตถึง 2 ดิจิต
ที่น่าสนใจคือหลังจากนี้อายิโนะโมะโต๊ะจะปล่อยผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพอะไรออกสู่ตลาดอีกบ้าง เพราะเป้าที่วางไว้คือ ภายในปี 2573 รายได้จากกลุ่มธุรกิจใหม่ต้องแตะ 1,000 ล้านบาท และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากกรดอะมิโนจะต้องมีสัดส่วน 50% ของพอร์ตฯ โดยรวม.