ไม่ว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจจะเป็นเช่นไร ธุรกิจร้านกาแฟยังคงเป็นธุรกิจที่สามารถประคองตัวและฟื้นตัวในอัตราที่รวดเร็ว ขณะที่ภาพรวมมูลค่าตลาดสูงถึง 3 หมื่นล้านบาท ทิศทางการเติบโตยังอยู่ในช่วงขาขึ้น เราจึงได้เห็นการฟาดฟันกันระหว่างแบรนด์ใหญ่ที่ผุดสาขาใหม่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ร้านอาหารหรือคาเฟ่รูปแบบออลเดย์ไดนิ่งกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในไทย รวมถึงพฤติกรรมการบริโภคในปัจจุบันที่ผู้บริโภคมองหาร้านอาหารที่ตอบโจทย์ความต้องการครบจบในคราวเดียว ทำให้ เดอะ คอฟฟี่ คลับ ต้องวางกลยุทธ์เพื่อพาร้านก้าวสู่การเติบโตทางธุรกิจที่จะตอกย้ำตำแหน่งร้านออลไดนิ่งสัญชาติออสเตรเลียชั้นนำในไทย
กลยุทธ์ที่ เดอะ คอฟฟี่ คลับใช้ก่อนหน้าคือ ปรับลดเมนูอาหารลงกว่า 40% และปรับลดเมนูเครื่องดื่มลง 50% อีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่ เดอะ คอฟฟี่ คลับ เลือกใช้คือ การบอกเล่าเรื่องราวที่มาของวัตถุดิบหลักอย่าง “ไข่ไก่” ที่ถูกซ่อนอยู่ในหลายเมนูของเดอะ คอฟฟี่ คลับ ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการทำอาหารทั้งคาวและของหวาน
ไข่ไก่เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี ที่ปัจจุบันผู้บริโภคเริ่มหันมาให้ความใส่ใจมากขึ้นในการเลือกรับประทาน เทรนด์สุขภาพยังคงเป็นประเด็นหลักที่หลายคนให้ความสำคัญ หมายความว่าต้นทางของไข่ไก่จึงไม่ใช่สิ่งที่ถูกละเลยอีกต่อไป
“ไก่อารมณ์ดี” จึงกลายเป็นจุดขายของหลายแบรนด์ที่มีผลิตภัณฑ์ไข่ไก่วางจำหน่าย และแน่นอนว่า เดอะ คอฟฟี่ คลับ ที่ให้ความสำคัญกับประเด็น “ความยั่งยืน” ได้เลือกนำเสนอเรื่องราวของวัตถุดิบหลักอย่าง “ไข่ไก่” ขึ้นมานำเสนอให้กลุ่มเป้าหมายได้รับรู้ ด้วยการใช้ไข่ไก่จากแหล่งผลิตที่ไม่ใช้กรงขัง (Cage Free Eggs) ที่เป็นอีกหนึ่งไข่ไก่ที่มาตอบสนองตามหลัก Animal Welfare ในด้านสวัสดิภาพของสัตว์แล้ว ยังตอบโจทย์สังคมด้วยการสร้างความสุข รอยยิ้มให้แต่ละวันในการรับประทานอาหาร มีความสุขจากวัตถุดิบคุณภาพ
นงชนก สถานานนท์ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ คอฟฟี่ คลับ ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ในแต่ละปี ร้านเดอะ คอฟฟี่ คลับ มีการใช้ไข่ไก่มากกว่า 1.7 ล้านฟอง ทางร้านเล็งเห็นว่าเราสามารถเป็นผู้บุกเบิกในการสร้างมาตรฐานใหม่ที่ยั่งยืนให้แก่อุตสาหกรรมร้านอาหาร ทำให้ เดอะ คอฟฟี่ คลับ มีการเลือกใช้ไข่ไก่จากแหล่งผลิตที่ไม่ใช้กรงขัง เพื่อให้ลูกค้าของเราได้รับประะทานเมนูอาหารเช้า โดยมีไข่เป็นส่วนประกอบหลักที่มีคุณภาพสูง และใส่ใจต่อสุขภาพลูกค้าและแม่ไก่
“เมื่อแม่ไก่มีความสุข สุขภาพแข็งแรง จะออกไข่มาโดยธรรมชาติ ซึ่งไข่ไก่จากแหล่งผลิตที่ไม่ใช้กรงขังนั้นนอกจากจะสะอาดแล้ว ยังมีสารอาหารสูงกว่าไข่ไก่ทั่วไป เช่น เบต้าแคโรทีน วิตามินอี โอเมก้า3 เมื่อนำไปประกอบอาหารจะเห็นว่า ไข่แดงมีสีส้ม และคาวน้อยกว่าไข่ทั่วไป เป็นเมนูไข่ที่ให้ทั้งความสุขและดีต่อสุขภาพ อีกทั้งไข่ทั้งหมดได้รับการตรวจสอบคุณภาพให้ได้ตามมาตรฐานที่กำหนด และส่งตรงเข้าสู่ครัวร้านอาหาร ไข่ทุกฟองสามารถตรวจสอบแหล่งที่มา กรรมวิธีในการผลิต รวมถึงวันเดือนปีที่ผลิตของไข่ไก่แต่ละล็อตได้อีกด้วย ถือเป็นอีกหนึ่งความพิเศษและเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ร้านอาหารสามารถสสร้างความมั่นใจถึงมาตรฐานวัตถุดิบระดับพรีเมียมของทางร้าน”
โดยนงชนกระบุว่า จะเริ่มต้นให้บริการในสาขากรุงเทพฯ และพัทยารวม 21 สาขา พร้อมตั้งเป้าให้ร้านเดอะ คอฟฟี่ คลับทั่วประเทศเปลี่ยนมาใช้ไข่ไก่จากแหล่งผลิตที่ไม่ใช้กรงขังทั้งหมด สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินธุรกิจของเครือไมเนอร์ ฟู้ด ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน และมุ่งมั่นเป็นองค์กรที่รับผิดชอบต่อสังคม
กลยุทธ์ของ เดอะ คอฟฟี่ คลับ ที่บอกเล่าเรื่องราวที่มาของวัตถุดิบสอดคล้องกับแนวโน้มเทรนด์อาหารปี 2023 ที่ผู้ประกอบการร้านอาหารจำเป็นต้องรู้ ได้แก่ 1. การบริโภคอาหารที่ไม่ได้โฟกัสแค่ร่างกาย แต่โฟกัสที่อารมณ์ด้วย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่มีแนวโน้มบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลดีต่อสุขภาพจิต 2. การเลือกรับประทานอาหารที่ส่งผลดีต่อสุขภาพทางเดินอาหาร โดยอาหารจะมีทั้งพรีไบโอติกส์ และโพรไบโอติกส์ 3. การกินเพื่อสร้างประสบการณ์ การบอกเล่าเรื่องราว เช่น การเดินทางของวัตถุดิบตั้งแต่เริ่มต้น จนมาจบที่จานอาหาร สร้างอรรถรสได้มากกว่าแค่รสชาติ และยังเป็นการส่งเสริมรายได้เกษตรกร เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีเทรนด์การกินอาหารที่สอดคล้องกับการรักษ์โลก ด้วยการที่ไม่สร้างปริมาณขยะจากอาหารมากขึ้น ร้านอาหารจำนวนไม่น้อยที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมเลือกที่จะใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ
นางชมพรรณ กุลนิเทศ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเพื่อความยั่งยืน บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ไมเนอร์ เชื่อมั่นว่า การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพระยะยาวขององค์กรควบคู่ไปกับของผู้มีส่วนได้เสียอย่างต่อเนื่อง เป็นส่วนสำคัญที่จะสร้างให้องค์กรสามารถเติบโตได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน ดังนั้น ไมเนอร์ ฟู้ด จึงมุ่งเน้นในการยกระดับการบริหารจัดการซัปพลายเชนเพื่อจัดซื้อสินค้าและบริการอย่างยั่งยืน ผ่านการนำเสนอสินค้าและบริการที่ได้คุณภาพและคำนึงถึงความปลอดภัยของลูกค้าและมีทางเลือกเพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของลูกค้า พร้อมกับการมีส่วนร่วมกับลูกค้าผ่านช่องทางที่หลากหลาย โดย “ไข่” คือส่วนประกอบหลักในหลากหลายเมนูภายใต้แบรนด์ร้านอาหารของไมเนอร์ ฟู้ด เพื่อเป็นการส่งมอบวัตถุดิบที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัย เราจึงเดินหน้าในการจัดหาผลิตภัณฑ์ไข่ไก่ทั้งหมดจากแหล่งผลิตที่ไม่ใช้กรงขัง (Cage free Eggs) สำหรับทุกแบรนด์ร้านอาหารในเครือภายในปี 2570 โดยมีเดอะ คอฟฟี่ คลับ ทั้งในประเทศไทยและออสเตรเลีย เป็นผู้นำของความริเริ่มนี้ ซึ่งการหันมาใช้ไข่ไก่ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจที่จะช่วยให้สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสวัสดิภาพของสัตว์และส่งเสริมการสร้างห่วงโซ่คุณค่าอย่างยั่งยืนทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโลกต่อไป”
ปัจจุบันเดอะ คอฟฟี่ คลับ มีสาขาเปิดบริการรวมทุกโมเดลกว่า 40 สาขา และวางแผนว่าภายในปีนี้จะเปิดโมเดลใหญ่แบบคาเฟ่ และโมเดลคลับอีก 4-6 สาขา
สัดส่วนรายได้ของเดอะ คอฟฟี่ คลับ แบ่งเป็น นั่งรับประทานในร้าน 75% เทกอะเวย์ 15% และดีลิเวอรี 10% สัดส่วนรายได้มาจากอาหารเช้ามากกว่า 30% สัดส่วนลูกค้าคนไทยประมาณ 40% ต่างชาติ 60% ตั้งเป้าหมายปีนี้คนไทยและต่างชาติเท่ากัน จากเดิมช่วงก่อนโควิดเป็นลูกค้าต่างชาติมากกว่า 80% และตั้งเป้าหมายรายได้รวมปีนี้เติบโต 30% หรือจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 600-700 ล้านบาท ซึ่งไตรมาสแรกปีนี้ยอดขายเติบโตมากกว่า 97% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้น 81% โดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยวหลักอย่างภูเก็ต
ล้อมกรอบ
เดอะ คอฟฟี่ คลับ (The Coffee Club) ก่อตั้งขึ้นด้วยชื่อที่จดจำได้ง่าย จากการเปิดสาขาแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2532 ที่ Eagle Street Pier ในเมืองบริสเบน ประเทศออสเตรเลีย จนมาถึงวันนี้ที่ขยายสาขาได้มากกว่า 400 สาขาใน 10 ประเทศทั่วโลก เป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับคอกาแฟทั่วโลก มอบความรู้สึกสบายมีสไตล์ เข้าถึงง่าย
สำหรับประเทศไทย เดอะ คอฟฟี่ คลับ อยู่ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่ปี 2553 ซึ่งได้รับความนิยมและเปิดขยายสาขาครอบคลุมทั้งในบริเวณย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ อย่าง วิทยุ สีลม สุขุมวิท และในจังหวัดท่องเที่ยวอย่างภูเก็ต กระบี่ เกาะสมุย หัวหิน พัทยา