วันจันทร์, พฤศจิกายน 25, 2024
Home > On Globalization > กักตัวอยู่บ้าน ความรุนแรงในครอบครัวก็เพิ่มมากขึ้น

กักตัวอยู่บ้าน ความรุนแรงในครอบครัวก็เพิ่มมากขึ้น

Column: Women in wonderland

การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่รุนแรงและแพร่กระจายไปทั่วโลกนั้น เกือบทุกประเทศมีนโยบายป้องกันการแพร่ระบาดด้วยการขอความร่วมมือให้ประชาชนงดออกจากบ้าน ไปในพื้นที่ชุมชน งดการรวมกลุ่ม สนับสนุนให้ work from home เมื่อมาตรการนี้ไม่ได้ผล เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในแต่ละประเทศมีจำนวนมากขึ้น รัฐบาลหลายประเทศจึงประกาศล็อกดาวน์หรือการปิดเมืองหรือรัฐที่มีคนติดเชื้อไวรัส COVID-19 เพิ่มมากขึ้น เป็นการป้องกันไม่ให้เชื้อโควิด-19 แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว

หลายประเทศพร้อมใจจะล็อกดาวน์ด้วยเงื่อนไขที่แตกต่างกันไป บางประเทศให้งดเดินทางเข้าออกทุกช่องทาง บางประเทศแค่ปิดสนามบินเท่านั้น ส่วนการควบคุมประชาชน รัฐบาลสั่งให้ทุกคนอยู่แต่ในบ้าน ออกจากบ้านได้ในกรณีที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น ห้างสรรพสินค้าและร้านค้าปิดบริการทั้งหมด เหลือเพียงแค่ร้านขายยา ร้านอาหารที่อนุญาตให้ซื้อกลับบ้านเท่านั้น ธนาคาร และซูเปอร์มาร์เก็ต มีเวลาเปิดทำการสั้นลงกว่าช่วงเวลาปกติ เพื่อเป็นการลดการแพร่กระจายเชื้อโรค ถึงแม้ว่าวิธีนี้จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศถดถอยลงจากก็ตาม

เพราะหากมีอัตราการติดเชื้อ COVID-19 เพิ่มสูงขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว อย่างสหรัฐอเมริกา อิตาลี และสเปน อาจทำให้โรงพยาบาลที่มีอยู่ไม่เพียงพอต่อจำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษา อย่างอิตาลีที่โรงพยาบาลและเตียงมีไม่พอต่อจำนวนผู้ป่วย ทำให้หมอต้องตัดสินใจเลือกรักษาผู้ที่มีโอกาสหายสูงกว่า หรือประเทศเอกวาดอร์ ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อจำนวนมากจนโรงพยาบาลไม่สามารถรองรับผู้ป่วยได้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก จนห้องเก็บศพและสถานที่เก็บศพต่างๆ เต็มหมด และมีศพผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสถูกทิ้งไว้ตามถนนจำนวนมาก

เกือบทุกประเทศตัดสินใจล็อกดาวน์ งดเดินทางเข้าออกทุกช่องทาง สั่งให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้านเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1 เดือน และอาจมีประกาศขยายระยะเวลาปิดประเทศออกมาอยู่เรื่อยๆ เพื่อให้แน่ใจว่าจำนวนผู้ที่ติดเชื้อไวรัส COVID-19 จะลดน้อยลง จนกระทั่งหมดไปในที่สุด ดังนั้นในหลายประเทศจึงยังคงประกาศปิดประเทศแบบไม่มีกำหนด

จีนเป็นประเทศแรกที่มีคนติดเชื้อไวรัส COVID-19 หลังจากนั้นไม่นานจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และจีนก็สามารถรักษาผู้ติดเชื้อทั้งหมดให้หายได้ สามารถป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสได้สำเร็จเป็นประเทศแรก จีนสั่งปิดเมืองอู่ฮั่น ในมณฑลหูเป่ย เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2020 เนื่องจากอู่ฮั่นเป็นต้นตอของการระบาด และมีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก รัฐบาลจีนจึงสั่งปิดเมือง หยุดให้บริการการขนส่งสาธารณะทั้งหมด ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า โรงงาน บริษัท และธนาคารต้องปิดทั้งหมด อนุญาตให้เพียงซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านขายยาที่เปิดได้ แต่ต้องปิดร้านเร็วกว่าปกติ หลังประกาศปิดเมืองอู่ฮั่น รัฐบาลจีนยังประกาศปิดอีกหลายเมือง ซึ่งเป็นมาตรการที่จีนใช้ควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส

จีนยกเลิกปิดเมืองอู่ฮั่นในวันที่ 8 เมษายน หลังจากไม่มีผู้ติดเชื้อไวรัสเพิ่มขึ้น แม้มาตรการการปิดเมืองจะถูกยกเลิกไป รัฐบาลจีนก็ยังไม่อนุญาตให้คนต่างชาติเดินทางเข้าประเทศจีนได้ เพราะกังวลว่าคนต่างชาติจะพาไวรัส COVID-19 กลับมาแพร่กระจายในประเทศจีนอีก

จากการปิดประเทศหรือปิดเมืองเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของไวรัส ทำให้ประชาชนหลายร้อยล้านคนต้องอยู่แต่ในบ้าน ความหวาดกลัวของผู้หญิงที่เคยตกเป็นเหยื่อความรุนแรงในครอบครัวก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ไม่รวมสถานการณ์เลวร้ายของ COVID-19 กลัวตกงานเพราะบริษัทต่างๆ ก็ต้องหยุดทำการ อาจถูกลดเงินเดือน หรือไม่ได้รับเงินเดือน ความเครียดมากมายเหล่านี้ทำให้มีการทะเลาะกัน มีอารมณ์ใส่กันเป็นเรื่องง่าย จึงอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้หญิงและเด็กจำนวนไม่น้อยตกเป็นเหยื่อความรุนแรง

การสั่งปิดประเทศทำให้หน่วยงานภาครัฐและองค์กรอิสระที่ทำงานเกี่ยวกับความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กเห็นจำนวนผู้ที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นในช่วงการกักตัวอยู่ในบ้าน และหน่วยงานที่ให้บริการความช่วยเหลือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อก็มีน้อยลงในช่วงนี้ ยกตัวอย่างในฝรั่งเศส หลังจากที่รัฐบาลประกาศปิดประเทศ เหยื่อความรุนแรงสามารถไปร้องเรียนได้ที่หน้าเว็บไซต์ของภาครัฐเรื่องความรุนแรงในครอบครัว ในขณะที่เบอร์โทรสายด่วนฉุกเฉินยังเปิดให้บริการ แต่มีผู้รับสายน้อยลง รวมไปถึงผู้ที่ตกเป็นเหยื่อสามารถร้องขอความคุ้มครองจากศาลได้ในกรณีที่ฉุกเฉินจริงๆ เท่านั้น นี่อาจทำให้เหยื่อความรุนแรงได้รับความช่วยเหลือช้าเกินไป

หลังจากมีประกาศปิดประเทศในทุกทวีปต่างมีจำนวนผู้ที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ระยะเวลาเพียง 1 เดือนที่ทางการจีนสั่งปิดเมืองอู่ฮั่นนั้น มีผู้ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงในครอบครัวไปแจ้งความเพิ่มขึ้น 3 เท่าจากสถิติการแจ้งความทั้งประเทศ ในปี 2019 มี 47 คดี ช่วงประกาศปิดเมือง 1 เดือน มี 162 คดี และสื่อในประเทศจีนยังรายงานว่า 90% ของผู้ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงแจ้งว่า สาเหตุหลักมาจากสถานการณ์ COVID-19 เริ่มเลวร้ายลง

ในทวีปยุโรป ฝรั่งเศสมีผู้หญิงตกเป็นเหยื่อความรุนแรงในครอบครัวมากที่สุดในสหภาพยุโรป กระทรวงมหาดไทยของฝรั่งเศสเปิดเผยว่า ในช่วง 11 วันที่รัฐบาลประกาศปิดประเทศ ตั้งแต่ 17 มีนาคม – 28 มีนาคมนั้น พบว่าผู้ที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มมากขึ้นถึง 36%

รัฐบาลสเปนมีคำสั่งปิดทุกเมือง ไม่ให้บุคคลจากชาติที่ไม่ใช่สมาชิกสหภาพยุโรป เดินทางเข้าประเทศเป็นเวลา 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2020 เป็นต้นมา และห้ามประชาชนออกจากบ้านเรือนนอกจากมีเหตุฉุกเฉิน ไม่เพียงทำให้จำนวนผู้ที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มขึ้น แต่หลังจากรัฐบาลสเปนประกาศปิดเมืองและพรมแดนได้เพียง 5 วัน ก็มีผู้หญิง 1 คนถูกฆาตกรรมโดยสามีต่อหน้าลูกภายในบ้าน เรื่องนี้ทางการสเปนคาดว่าน่าจะเป็นเพราะผู้ใช้ความรุนแรงมีความเครียดจากสถานการณ์ไวรัส COVID-19 ทำให้บันดาลโทสะและฆ่าภรรยาตัวเอง

บราซิลก็ประสบปัญหาเดียวกัน การระบาดของโควิด-19 รุนแรงและมีผู้ติดเชื้อสูงที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ บราซิลไม่มีประกาศปิดประเทศ มีเพียงบางรัฐเท่านั้นที่ใช้มาตรการเข้มงวด สั่งปิดร้านค้า โรงเรียน สถานที่ออกกำลังกาย และห้ามเดินทางทุกรูปแบบ และขอร้องให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้าน แม้ทางการจะยังไม่ประกาศปิดประเทศ ก็มีผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงติดต่อขอเข้าบ้านพักฉุกเฉินเพิ่มขึ้นถึง 50%

หลายหน่วยงานที่ทำงานเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กจึงเรียกร้องรัฐบาลให้เพิ่มอำนาจตำรวจในช่วงเวลานี้ ให้สามารถเข้าไปจัดการและให้ความช่วยเหลือเหยื่อได้ทันที

สหราชอาณาจักร Mandu Reid หัวหน้าพรรค Women’s Equality เรียกร้องรัฐบาลให้อำนาจพิเศษกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในช่วงสถานการณ์ COVID-19 โดยให้ตำรวจมีอำนาจสั่งให้ผู้ใช้ความรุนแรงออกจากบ้านได้ในช่วงปิดเมืองหรือปิดประเทศ และตำรวจควรมีอำนาจยกเลิกค่าธรรมเนียมการขอคำสั่งคุ้มครองจากศาลในช่วงเวลานี้อีกด้วย ซึ่งรัฐบาลอังกฤษก็ยังไม่ให้ความเห็นต่อเรื่องนี้

มีการคาดการณ์ว่าสถานการณ์ COVID-19 น่าจะใช้เวลาอีกหลายเดือน กว่าสถานการณ์จะคลี่คลายรัฐบาลควรมีนโยบายให้ความช่วยเหลือผู้ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงในครอบครัวอย่างจริงจัง เพราะเมื่อต้องอยู่แต่ในบ้านทุกวัน ความเครียดที่มี ความกังวลต่างๆ ก็เพิ่มขึ้นทุกวัน อาจจะเป็นต้นเหตุให้หลายคนใช้ความรุนแรงกับคนในครอบครัวได้ เมื่อสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลายลง จำนวนผู้เสียชีวิตและผู้ที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงในครอบครัวทั่วโลกน่าจะสูงเป็นประวัติการณ์เลยทีเดียว
Photo Credit: https://pixabay.com/photos/coronavirus-virus-mask-corona-4914026/

ใส่ความเห็น