Home > health (Page 7)

อาหารสร้างสุข

“ทั้งความสุขและกิจกรรมทางจิตวิทยาเชิงบวกทั้งหมด ล้วนมีรากฐานจากการบริโภคอาหารที่ถูกหลัก” คำกล่าวของ Dr. Drew Ramsey แห่ง Center for Mind Body Medicine และผู้เขียนร่วมหนังสือ The Happiness Diet “ถ้าคุณรู้สึกหงุดหงิดฉุนเฉียว หรือรู้สึกอ่อนเพลียไม่มีแรง คงยากที่จะมีความคิดเชิงบวกได้ คุณจะรู้สึกไม่มีความสุข จึงจำเป็นมากที่เราต้องทำความเข้าใจว่า อาหารมีอิทธิพลต่อเราอย่างไร” การบริโภคอาหารผิดหลัก นอกจากมีผลทำให้เราหมดแรงเร็วกว่าปกติแล้ว ยังอาจทำให้รู้สึกวิตกกังวล ซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน สมาธิสั้น ซึ่ง Drew เป็นคนหนึ่งในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่เชื่อว่า วิธีที่ดีที่สุดในการเยียวยาปัญหาสุขภาพจิตในปัจจุบันคือ การหวนกลับไปบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางสมองของเรา เหมือนอย่างที่บรรพบุรุษทำกันมาเมื่อหลายพันปีก่อน เขาอธิบายว่า “มีการเปิดเผยข้อมูลมากมายที่เชื่อมโยงรูปแบบการบริโภคกับความเสี่ยงของโรคทางจิตใจที่สำคัญๆ เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล และโรคสมาธิสั้น ดังนั้น ถ้าคุณไม่อยากพบจิตแพทย์ อาหารเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยคุณได้ จึงแนะนำให้เปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของคุณ” ไขมันกับความสุขกรดไขมันโอเมก้า-3 ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อความสุขของเรา จากการที่มีคุณประโยชน์มหาศาลต่อร่างกาย เช่น ส่งเสริมสุขภาพหัวใจ สมอง ข้อต่อ ผิวหนัง ระบบภูมิคุ้มกัน

Read More

เปิดตัวอาหารระดับ “ซูเปอร์สตาร์”

 เป็นที่รู้กันดีว่า ปลาทะเลน้ำลึกที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง บร็อคโคลี และบลูเบอร์รี ได้ชื่อว่าเป็นอาหารมหัศจรรย์ที่ช่วยบำรุงสุขภาพให้ดีขึ้น แต่อาหารที่มีคุณสมบัติดังกล่าวไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่นี้ ผลการวิจัยล่าสุดระบุมีอาหารระดับ “ซูเปอร์สตาร์” อีก 12 ชนิดที่คุณพลาดไม่ได้ดังนี้ ซิลเวอร์บีท (silverbeet)-ทำให้สายตาดีขึ้นรู้กันมานานแล้วว่า ลูทีนกับซีแซนทีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่วิเศษมากในแง่ช่วยปกป้องสุขภาพสายตาในอนาคต จากการที่ช่วยให้นัยน์ตาของคุณสามารถทนทานต่อการทำลายจากรังสียูวี แต่การวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้ยังระบุว่า ทั้งลูทีนและซีแซนทีนทำให้คุณมีสายตาแหลมคมขึ้นด้วย ศาสตราจารย์ Billy Hammond แห่งมหาวิทยาลัยจอร์เจียอธิบายว่า สารต้านอนุมูลอิสระจะมารวมตัวอยู่ด้านหน้าของลูกนัยน์ตา “เหมือนสวมแว่นกันแดดสีเหลืองไว้ภายในลูกตาของเรา สารดังกล่าวทำหน้าที่กรองแสงสีฟ้าซึ่งเป็นแสงที่มองเห็นได้ที่เป็นอันตรายที่สุด เมื่อแสงสีฟ้านี้กระจายตัวอยู่ในลูกตา ทำให้มีอาการแสบตา และเมื่อกระจายตัวอยู่ในบรรยากาศ ทำให้ประสิทธิภาพการมองเห็นลดลง” หากมีสารลูทีนและซีแซนทีนเคลือบนัยน์ตาอยู่ จะช่วยให้คุณมองเห็นได้ไกลขึ้นและชัดขึ้นด้วย แอปริคอตแห้ง-สำหรับกลุ่มอาการพีเอ็มเอสกลุ่มอาการพีเอ็มเอสหรือกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน เป็นอาการผิดปกติหรือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสตรีซ้ำๆ และสัมพันธ์กับการมีประจำเดือน ส่วนมากอาการจะเกิดก่อนมีประจำเดือน เช่น ปวดศีรษะ หงุดหงิด เจ็บคัดตึงเต้านม แอปริคอตแห้ง 30 กรัมมีธาตุเหล็ก 1.2 มิลลิกรัม ซึ่งนักวิจัยในสหรัฐฯ เชื่อมโยงว่า เป็นปริมาณที่ช่วยลดอัตราการเกิดอาการก่อนมีประจำเดือนได้ถึงร้อยละ 30-40 ผลการศึกษาของ Dr. Patricia  Chocano-Bedoya แห่งภาควิชาสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

Read More

อาหารตีกับยาได้อย่างไร?

 คุณๆ ย่อมรู้กฎความปลอดภัยดีว่า ก่อนกินยาต้องอ่านฉลากยาให้ถ้วนถี่ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณไม่ได้กินยาเกินขนาด (ถ้าไม่เคยทำ ให้ทำเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้) คุณเคยตระหนักและเคยได้ยินไหมว่า การกินยาหลายขนานในเวลาเดียวกัน อาจเกิดปัญหายาทำปฏิกิริยาต่อกันจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ หรือที่เรียกกันง่ายๆ ตามภาษาปากว่า “ยาตีกัน” ซึ่งต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง แต่วันนี้เรามีข้อควรระวังที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันมานำเสนอ นั่นคือ ยาบางประเภททำปฏิกิริยากับอาหารบางอย่างที่คุณกิน ไม่เว้นแม้แต่ยาสามัญที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ตัวอย่างง่ายๆ คือ ถ้าคุณเข้ารับการผ่าตัด แล้วต้องกินวิตามินหรือแม้แต่การเข้าโรงยิมเพื่อออกกำลังกาย ให้ปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อนเป็นลำดับแรก ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างอาหารที่ทำปฏิกิริยากับยาบางประเภทที่คุณควรรู้ ส้มเกรปฟรุตการวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้พบว่า มียาจำนวนมากที่ทำปฏิกิริยากับน้ำเกรปฟรุตโดยเพิ่มจาก 17 ชนิดเมื่อปี 2008 เป็น 43 ชนิดในปี 2012 Dr.Andrew Boyden ที่ปรึกษาทางคลินิกของ NPS MedicineWise อธิบายว่า “น้ำเกรปฟรุตทำปฏิกิริยากับยาสามัญหลายชนิด ทำให้ขนาดยาที่กินตามปกติเพิ่มความแรงมากเกินไป หรือก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น ยาลดไขมันในเลือดกลุ่ม ststins ยาโรคหัวใจบางชนิด ยาลดความดันโลหิต และยาที่คนไข้อาจต้องกินในระยะเวลาสั้นๆ เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาแก้ไอ หรือยาแก้หวัด” หากต้องการรายละเอียดของยาที่ทำปฏิกิริยากับน้ำเกรปฟรุต ให้เข้าไปอ่านได้ในเว็บไซต์ของ NPS

Read More

ดีท็อกซ์บ้านกันดีกว่า

 ในแต่ละสัปดาห์ เราหนีไม่พ้นการดูแลบ้านให้สะอาดปราศจากเชื้อโรคและมีกลิ่นหอมสดชื่น ซึ่งถือเป็นหน้าที่ที่ต้องทำเลยก็ว่าได้ เราทุกคนต่างอยากใช้ห้องน้ำที่สะอาดเอี่ยม มีคนจำนวนไม่น้อยส่งเสริมให้เด็กใช้สบู่หรือน้ำยาล้างมือที่มีตัวยาฆ่าเชื้อโรค แต่คุณเคยตระหนักหรือไม่ว่า มาตรการรักษาความสะอาดในชีวิตประจำวันเหล่านี้ จริงๆ แล้วก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี “เราถูกล้างสมองให้คิดว่าเชื้อโรคทั้งหมดเป็นอันตราย และต้องใช้สารเคมีแรงๆ เพื่อสร้างบรรยากาศบ้านสะอาดให้ลูกๆ ของเรา “Nicole Bijlsma ผู้เชี่ยวชาญด้านบ้านสะอาดและผู้เขียนหนังสือ  Healthy Home, Healthy Family กล่าว “แต่ความจริงแล้ว ส่วนผสมที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดทั่วไป ส่วนใหญ่มีศักยภาพในการเป็นสารพิษต่อครอบครัวของคุณมากกว่า” การเดินสำรวจไปตามชั้นวางสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ต เพื่อเลือกผลิตภัณฑ์ที่ “ปลอดภัย” มาใช้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำเบื้องต้นที่เป็นประโยชน์ไม่น้อย ผลิตภัณฑ์สารฟอกขาวBijlsma อธิบายว่า หนึ่งในความเข้าใจผิดร้ายแรงที่สุดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับการทำความสะอาดบ้าน คือ บ้านสะอาดก็ต่อเมื่อมีกลิ่นสะอาดของสารฟอกขาวแล้วเท่านั้น “ผลิตภัณฑ์สารฟอกขาวมีความเป็นพิษสูง และสามารถทำให้ปอดและผิวหนังระคายเคืองได้” Dr.Jennifer Kent แห่ง Sydney’s Green Living Centre กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์สารฟอกขาวเป็นผลิตภัณฑ์ที่คนจำนวนมากคิดว่าขาดไม่ได้ “ถ้านำไปผสมกับน้ำยาทำความสะอาดที่มีความเป็นกรด ผลิตภัณฑ์สารฟอกขาวจะปล่อยแก๊สคลอรีนที่เป็นสารพิษออกมา” ถ้าในส่วนผสมมี sodium hypochlorite รวมอยู่ด้วย ให้โยนทิ้งได้เลย แล้วหาซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ decyl glucoside

Read More

ดูดไอศกรีมแท่งแก้ปวดไมเกรน

 ทำไมรึ เพราะอาการปวดศีรษะไมเกรนเกิดขึ้นจากการที่มีบางสิ่งบางอย่างไปกระตุ้นให้เส้นเลือดสมองขยายตัว แต่การทำให้เพดานปากได้สัมผัสกับความเย็น สามารถทำให้เส้นเลือดสมองที่ขยายตัวนั้น หดตัวกลับสู่สภาวะปกติได้ ดังนั้น การดูดไอศกรีมแท่งสัก 5 นาทีจึงช่วยให้หายปวดศีรษะได้ แม้จนถึงทุกวันนี้จะมีข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับประเด็นนี้น้อยมาก แต่คณะทำงานของโรงพยาบาลเพนริธ ประเทศอังกฤษ กำลังดำเนินรอยตามหลักการข้างต้นอย่างขมีขมัน ด้วยการยอมรับว่า พวกเขากำลังทดลองออกแบบผลิตยาที่เป็นสเปรย์เย็นฉีดเข้าสู่จมูกเพื่อให้ได้ผลอย่างเดียวกับการดูดไอศกรีมนั่นเอง อยากคลายเครียดให้กินผักใบเขียว เป็นที่รู้กันว่าแมกนีเซียมจัดเป็นยาคลายเครียดดั้งเดิมเลยก็ว่าได้ ผลการวิจัยระบุว่า ถ้าสมองของคุณขาดแมกนีเซียม จะส่งผลให้เซโรโทนิน (Serotonin) ลดระดับลงได้ Victoria O’Sullivan แพทย์นักธรรมชาติบำบัด กล่าวว่า “สมองจำเป็นต้องใช้แมกนีเซียมในการผลิตเซโรโทนิน ซึ่งเป็นสารเคมีในสมองที่ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย ดังนั้น ถ้าคุณมีแมกนีเซียมในร่างกายต่ำ คุณจะรู้สึกเครียด” การเพิ่มแมกนีเซียมในร่างกายทำได้ง่ายๆ ด้วยการบริโภคผักใบเขียวให้มากขึ้น รวมทั้งถั่วและถั่วเปลือกแข็งต่าง ๆ ระหว่างลดน้ำหนักต้องกินโปรตีนเพิ่มระหว่างการลดน้ำหนัก เรามักมีปัญหาอัตราการเผาผลาญต่ำลงและมวลกล้ามเนื้อลดลง วารสาร Journal of Nutrition จึงยืนยันผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยมาสทริชท์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ว่า ระหว่างการลดน้ำหนัก การบริโภคโปรตีนเพิ่มขึ้นเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก เพื่อรักษาอัตราการเผาผลาญให้อยู่ในระดับปกติ การศึกษาทำโดยให้ผู้ใหญ่อายุระหว่าง 18–80 ปีที่มีน้ำหนักตัวเกิน บริโภคอาหารที่ให้พลังงานต่ำนาน 6 เดือน โดยครึ่งหนึ่งของกลุ่มตัวอย่างบริโภคโปรตีน 0.8 กรัมต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัมต่อวัน (เป็นการบริโภคโปรตีนในปริมาณปกติ) และอีกครึ่งหนึ่งของกลุ่มตัวอย่างบริโภคโปรตีน 1.2

Read More

ปรับสภาพแวดล้อมในบ้าน จะหายปวดหัวเป็นปลิดทิ้ง

 คุณอาจโทษการเดินทางไปทำงานทุกวัน โทษวิถีชีวิตที่มีแต่ความเครียด หรือไม่ก็โทษไวน์ที่คุณดื่มเกินพอดีไปแก้วหนึ่งเมื่อคืนวันศุกร์ แต่ความจริงคือ สภาพแวดล้อมภายในบ้านต่างหาก ที่เป็นสาเหตุให้คุณปวดศีรษะ ไม่ว่าแสงจ้า กลิ่นเหม็นฉุน หรือมลพิษในบ้าน ล้วนเป็นสาเหตุร่วมของอาการปวดศีรษะ และจู่โจมเข้าโจมตีคุณได้ทุกหนแห่ง ไม่ว่าคุณจะอยู่ตรงบริเวณใดของบ้าน แต่คุณมีวิธีง่ายๆ ในการช่วยทำให้บ้านเป็นเขตปลอดอาการปวดศีรษะได้เหมือนกัน ทำให้อากาศถ่ายเทประเด็นไม่ได้อยู่ที่คุณเป็นคนสะอาดมากหรือไม่ แต่อยู่ที่อากาศภายในบ้านมีมลภาวะสูงกว่าอากาศนอกบ้าน สารเคมีในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด เครื่องเรือน รวมทั้งพรมปูพื้น ล้วนก่อให้เกิดแก๊สที่ทำให้ปวดศีรษะได้ ท่อแอร์ของเครื่องปรับอากาศอาจทำให้บ้านของคุณเย็นสบายในหน้าร้อน แต่นั่นไม่ได้หมายถึงอากาศที่บริสุทธิ์สะอาดเสมอไป  Jerome Dixon ผู้ก่อตั้ง headache.com.au อธิบายว่า สารอินทรีย์ระเหยง่าย (volatile organic compounds หรือ VOCs) ได้ชื่อว่าเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะ น้ำหอมปรับอากาศที่คุณฉีดภายในบ้านเพื่อให้มีกลิ่นหอมสดชื่นนั้น เต็มไปด้วย VOCs และเป็นผลเสียมากกว่าผลดีต่อสุขภาพของคุณ โดยเฉพาะเมื่อคุณเป็นคนปวดศีรษะง่าย “กลิ่นเหม็นฉุนเป็นสาเหตุให้ปวดศีรษะได้ แต่การพยายามดับกลิ่นในห้องด้วยน้ำหอมดับกลิ่นหรือน้ำหอมปรับอากาศ ยิ่งเป็นการเพิ่มสารกระตุ้นให้มากขึ้นเป็นสองเท่า” วิธีลดสารกระตุ้นในบ้านถ้ากลิ่นฉุนทำให้คุณปวดศีรษะ ให้กำจัดกลิ่นนั้นแทนการหาสารอื่นมาดับกลิ่น เช่น ติดตั้งพัดลมดูดอากาศเหนือเตาไฟที่คุณประกอบอาหาร ทำให้บ้านเย็นสบายด้วยการเปิดพัดลมหรือเปิดหน้าต่างให้มีลมธรรมชาติพัดเข้ามาเปิดประตูและหน้าต่างให้อากาศในบ้านไหลเวียนถ่ายเทได้สะดวก และทำให้มลพิษในบ้านลดลงได้อย่างชะงัดล้างทำความสะอาดแผ่นกรองของเครื่องปรับอากาศปีละสองครั้ง จัดพื้นที่เทคโนโลยีเสียใหม่การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟน เป็นสาเหตุให้คุณปวดศีรษะได้ โดยเฉพาะถ้าคุณต้องจ้องหน้าจอวันละหลายๆ ชั่วโมง Glen Smith ผู้เชี่ยวชาญด้านการยศาสตร์ (ergonomist)

Read More

บัญญัติ 8 ประการสู่ความสุข

 เมื่อพูดถึงสุขภาวะทางอารมณ์ เราต่างรู้ดีว่าความสุขเป็นสิ่งที่ต้องการ และยิ่งมีอารมณ์เชิงลบน้อยลงเท่าไร เรายิ่งรู้สึกดีขึ้นเท่านั้น แต่ขณะนี้วงการวิทยาศาสตร์ให้ความสำคัญกับประเด็นที่ว่า การจะบรรลุความสุขอย่างแท้จริงได้ เราจำเป็นต้องมีปัจจัยด้านความคิด ความรู้สึก และอารมณ์ด้านอื่นๆ อีก 8 ข้อเป็นองค์ประกอบด้วยดังนี้ 1. ความภูมิใจหากต้องการเพิ่มความเชื่อมั่นและประสบความสำเร็จในการทำงานมากขึ้น คุณต้องมีความภูมิใจในตนเองเพิ่มขึ้น Dr.Lisa Williams นักจิตวิทยาสังคมจากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์กล่าว่า “ความภูมิใจเป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเมื่อคุณบรรลุงานที่ลงมือทำจนลุล่วง เป็นความรู้สึกที่ทำให้เรายังใช้ความพยายาม และทำงานต่อไปเพื่อบรรลุเป้าหมายให้ได้” ดังนั้น คราวต่อไป หากคุณประสบความสำเร็จในการทำสิ่งใดแล้ว ให้เวลาภูมิใจกับตนเองสักสองสามนาที คิดด้วยว่าคุณรู้สึกดีเพียงใด แล้วนึกทบทวนถึงสิ่งที่คุณทำจนประสบความสำเร็จว่า คุณต้องใช้ทักษะใดบ้าง และมีใครช่วยคุณบ้าง เมื่อต้องเผชิญภาวะที่หนักหน่วงอีก ให้นึกถึงสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดอีกครั้ง 2. ความอยากรู้เมื่อเร็วๆ นี้ นักวิจัยสหรัฐฯ ประกาศว่า ความอยากรู้เป็น “หนึ่งในหกปัจจัยแห่งความรู้สึกดีที่นำไปสู่ความสุข” ซึ่งตรงกับความคิดของ Tim Drake นักเขียนร่วมหนังสือ You Can Be As Young As You Think ที่กล่าวว่า “ความอยากรู้ทำให้คุณไม่ตกหลุมพรางแห่งความขี้เกียจ และไม่คิดถึงสรรพสิ่งในทำนองขาวกับดำเท่านั้น

Read More

นอน: ชะลอวัยได้ดีที่สุด

 ผลการศึกษาจากศูนย์การแพทย์เคสที่โอไฮโอพบว่า การนอนอาจเป็นวิธีชะลอวัยที่ได้ผลชะงัดที่สุด และเป็นกิจวัตรประจำวันของเราอยู่แล้ว นับเป็นครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์พบว่า การนอนสัมพันธ์กับการมีผิวหนังเหี่ยวย่นโดยตรง ผลการศึกษาพบว่า การอดนอนทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นเร็วขึ้นจริง ผลที่เห็นได้ชัดที่สุดและเป็นที่รู้กันมานานแล้ว คือ เมื่ออดนอน คุณมีขอบตาดำคล้ำอย่างที่เรียกกันสนุกปากว่า “ตาหมีแพนด้า” หรือมีอาการบวม หรือผิวมีรอยย่น การศึกษาทำโดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างผู้หญิง 60 คนออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้อดนอน ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งได้นอนเต็มอิ่ม ปรากฏว่ากลุ่มหลังมีคุณภาพผิวดีขึ้นร้อยละ 100 ขณะที่กลุ่มอดนอนมีผิวเหี่ยวย่นมากขึ้น ยืดหยุ่นน้อยลง และผิวไม่เรียบ ปกติแล้ว ขณะที่คุณนอนพักผ่อนในเวลากลางคืน ผิวหนังจะมีการเปลี่ยนแปลงด้วยการเข้าสู่กระบวนการผลัดผิวใหม่ ทำให้มีเลือดไหลเวียนมาหล่อเลี้ยงมากขึ้น ร่างกายผลิตน้ำมันน้อยลง และมีการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอที่เกิดขึ้นในช่วงเวลากลางวัน  ดังนั้น จงอย่าพลาดโอกาสในการนอนให้เต็มอิ่ม เพื่อบำรุงผิวพรรณและชะลอวัยทุกคืน ! ออกกำลังกายเพิ่มความหนาแน่นมวลสมอง แม้รู้กันดีและรู้มานานแล้วว่า การออกกำลังกายมีคุณกับร่างกายอย่างเอกอุ กระทรวงสาธารณสุขของสหรัฐฯ ก็ยังออกประกาศแนะนำว่า ให้ชาวอเมริกันทุกคนออกกำลังกายระดับปานกลางให้ได้สัปดาห์ละ 150 นาทีเป็นอย่างน้อย เมื่อคุณมีอายุมากขึ้น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยทำให้สุขภาพดีขึ้น ด้วยการป้องกันการเป็นโรคความดันโลหิตสูง ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง และลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจ โรคหลอดเลือด และโรคเกี่ยวกับสมอง การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของสมอง เพราะทำให้มีเลือดไปเลี้ยงสมองมากขึ้น สารสื่อประสาทสื่อสารกันได้ดีขึ้น ทำให้อารมณ์แจ่มใส ป้องกันการเกิดภาวะซึมเศร้า ทำให้ความจำและการเรียนรู้ดีขึ้น ที่สำคัญคือ เพิ่มความหนาแน่นของมวลสมอง  การออกกำลังกายช่วยเสริมสร้างพลังสมองได้ตลอดชีวิตเลยทีเดียว ประคบเย็นแล้วหลับง่ายการทดลองของผู้เชี่ยวชาญสหรัฐฯ

Read More

เส้นผมเปลี่ยนเพราะยา?

 การใช้ยาบางชนิดทำให้เส้นผมของคุณเปลี่ยนไป อาจเกิดผมหยิก ผมร่วง ผมบาง  หรือแม้แต่ผมเปลี่ยนสี ผมร่วงหรือผมบาง การเปลี่ยนแปลงในเส้นผมหรือผมร่วง เป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยาหลายประเภท โดยบางประเภทก่อให้เกิดปัญหามากกว่าประเภทอื่น David Salinger กรรมการบริหารของสมาคมผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมระหว่างประเทศ ระบุว่า ยาที่ก่อให้เกิดผลดังกล่าว ได้แก่ ยาละลายลิ่มเลือด (เช่น wafarin, heparin) ยาลดระดับไขมันในเลือด ยารักษามะเร็ง ยาลดความดันโลหิตสูงบางกลุ่ม (โดยเฉพาะกลุ่มเตา–บล็อกเกอร์) และกลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ (retinoids) ยาที่ทำให้เส้นผมเปลี่ยนแปลงยังรวมถึงยาเม็ดคุมกำเนิด ยารักษาโรคลมชัก ยารักษาอาการซึมเศร้า และยาต้านอาการทางจิต นอกจากนี้ ผลการศึกษายังเชื่อมโยงว่า ยาระงับปวด ibuprofen มีผลให้ผมร่วงและผมบาง แต่จัดเป็นผลข้างเคียงจากยาที่เกิดขึ้นน้อยมาก และผมสามารถกลับคืนสู่ภาวะปกติได้เมื่อไม่ได้รับยาตัวนี้ หรือใช้ยาต้านอาการอักเสบตัวอื่นแทน Dr.Michael Rich แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังแห่งกรุงเมลเบิร์นเชื่อมโยงอาการผมร่วงและผมบางกับการใช้ยารักษาโรคเกาต์ โรคสะเก็ดเงิน โรคข้อรูมาตอยด์ โรคพาร์กินสัน โรคหัวใจเต้นผิดปกติ และอาการแสบร้อนกลางอก ใครคือกลุ่มเสี่ยงDr.Rich ระบุว่า “ผู้หญิงมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้ชายมาก อาการผมร่วงอาจมีตั้งแต่ผมร่วงเป็นกระจุก ร่วงทั่วทั้งศีรษะ ไปจนถึงล้านทั้งศีรษะ บางครั้งจะเกิดผลข้างเคียงต่อเม็ดสีของเส้นผมเท่านั้น ทำให้กลายเป็นคนมีผมสีเทาและผมขาวไปเลย นี่อาจเป็นการอธิบายปรากฏการณ์ที่ว่า จู่ๆ ผมของคุณเปลี่ยนเป็นสีเทาได้ในชั่วข้ามคืน

Read More

ระวัง !! โรคต่อมไทรอยด์ถามหา

 ความผิดปกติเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์นำไปสู่การเป็นหมัน โรคซึมเศร้าเรื้อรัง โรคเกี่ยวกับหัวใจ หรือไขมันในเลือดสูงได้ ต่อมไทรอยด์ตั้งอยู่ระหว่างกล่องเสียงกับกระดูกไหปลาร้า และหุ้มอยู่รอบหลอดลม นายแพทย์ Jeffrey Powell นักวิทยาต่อมไร้ท่อแห่งโรงพยาบาลนอร์ทเทิร์น เวสต์เชสเตอร์ในนิวยอร์ก อธิบายว่า ต่อมไทรอยด์ที่มีรูปร่างเหมือนผีเสื้อ ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ ซึ่งเป็นสารเคมีที่ควบคุมระบบเผาผลาญและอุณหภูมิของร่างกาย ทั้งยังมีบทบาทในเกือบทุกระบบของร่างกาย เพื่อทำให้สมองของคุณยังเฉียบแหลม อวัยวะในช่องท้องยังเคลื่อนไหวเป็นปกติ ประจำเดือนมาตรงตามกำหนด ผิวหนัง เล็บ และเส้นผมมีสุขภาพแข็งแรงดี ฮอร์โมนไทรอยด์สามารถเร่งหรือลดอัตราการเผาผลาญพลังงานของร่างกายได้ เมื่อเกิดความผิดปกติขึ้นกับต่อมไทรอยด์ ร่างกายทั้งระบบย่อมเกิดปัญหาตามมามากมาย นายแพทย์ Armand Krikorian รองผู้อำนวยการด้านวิทยาต่อมไร้ท่อแห่ง University Hospitals Case Medical Center ที่คลีฟแลนด์ ระบุว่า ในบรรดาชาวอเมริกัน 25 ล้านคนที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ ส่วนใหญ่จะเป็นเพศหญิง ผลการวิจัยยืนยันว่า ผู้หญิงมีความเสี่ยงต่อโรคต่อมไทรอยด์มากกว่าผู้ชายถึง 12 เท่า เพราะพวกเธอมีความเสี่ยงต่อโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (autoimmune diseases) เช่น โรคข้อรูมาตอยด์ และโรคลูปัส มากกว่า ซึ่งโรคเหล่านี้รบกวนการทำงานของต่อมไทรอยด์โดยตรง เป็นที่รู้กันว่า

Read More