Home > health (Page 10)

เท่าทันมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

 แต่ก่อนหากพูดถึงมะเร็งไม่ว่าจะเป็นมะเร็งชนิดใดก็ตามมโนภาพอันน่าสะพรึงกลัวของโรคร้ายที่ไม่มีหนทางเยียวยาก็ผุดขึ้นมาอย่างที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับใครอีก ทว่าเมื่อไม่นานมานี้ความรู้สึกเหล่านั้นค่อยๆ เลือนลง จากความหวาดหวั่นถูกแทนที่ด้วยความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่  แม้ว่ายังไม่มีวิธีใดพิชิตโรคร้ายนี้อย่างได้ผลเต็มร้อย แต่เทคนิคการรักษามะเร็งบางชนิดของประเทศญี่ปุ่นในปัจจุบันอาจกล่าวได้ว่าสามารถป้องกันและ/หรือตรวจคัดกรองโรคได้ก่อนในระยะเริ่มต้น ซึ่งเท่ากับเป็นการเพิ่มอัตราการรักษาจนหายขาดได้สูงยิ่งขึ้น ภายใต้ความร่วมมือของผู้ป่วยที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคและปฏิบัติตนตามคำแนะนำของแพทย์อย่างถูกต้อง ซึ่งหนึ่งในที่กล่าวมานั้นคือมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก มดลูกเป็นอวัยวะสำคัญในระบบสืบพันธุ์ของเพศหญิงซึ่งมีอุบัติการของมะเร็ง 2 ชนิดได้แก่มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกและมะเร็งปากมดลูก การป้องกันมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกมีส่วนสัมพันธ์กับการเกิดรอบเดือนของสตรีอย่างใกล้ชิด ซึ่งอรรถาธิบายโดยภาพรวมคือเมื่อสตรีเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์แล้วรังไข่จะหลั่งฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงที่กระตุ้นให้เกิดการสร้างเยื่อบุบริเวณผนังด้านในของโพรงมดลูกให้หนาตัวขึ้นเตรียมพร้อมสำหรับการฝังตัวของไข่ที่เกิดการปฏิสนธิ จนกระทั่งหลังช่วงเวลาตกไข่ ส่วนที่เรียกว่า corpus luteum ในรังไข่จะหลั่งฮอร์โมนเพศหญิงอีกชนิดหนึ่งชื่อโปรเจสเตอโรนมาเพิ่ม ฮอร์โมนเพศหญิงทั้งสองชนิดนี้ทำหน้าที่ประสานกันเพื่อรองรับการตั้งครรภ์และป้องกันการแท้งบุตร ในทางกลับกันหากไม่มีการปฏิสนธิเกิดขึ้นปริมาณของฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนจะลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ไข่ที่ไม่ได้รับการปฏิสนธิและเยื่อบุที่สร้างเตรียมไว้ในผนังด้านในของมดลูกหลุดลอกออกมากลายเป็นประจำเดือน ถ้าบังเอิญเกิดเซลล์มะเร็งขึ้นในโพรงมดลูกด้วยสาเหตุใดก็ตามประจำเดือนสม่ำเสมอเป็นกลไกตามธรรมชาติทำหน้าที่ป้องกันการเจริญเติบโตของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกก่อนถึงระยะที่ลุกลามเป็นอันตรายต่อร่างกาย เมื่อเข้าสู่วัยทองซึ่งเป็นช่วงอายุที่ไม่มีการตกไข่แล้วดังนั้นรังไข่จึงไม่หลั่งฮอร์โมนเพศหญิงส่งผลให้ไม่มีประจำเดือน แต่ในสตรีวัยทองบางคนโดยเฉพาะคนที่มีน้ำหนักตัวมากกว่าเกณฑ์เฉลี่ย (BMI*>25) อาจจะยังมีการสังเคราะห์ฮอร์โมนเอสโตรเจนได้จากเซลล์สะสมไขมันซึ่งกระตุ้นให้โพรงมดลูกหนาตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่ไม่เกิดรอบเดือน ในกรณีนี้หากเกิดเซลล์มะเร็งขึ้นที่โพรงมดลูกก็จะมีความเสี่ยงต่อการพัฒนาของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกมากกว่าสตรีวัยทองที่มีน้ำหนักร่างกายในเกณฑ์ปกติประมาณ 2.5 เท่า นอกจากนี้โรคบางอย่าง เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง, สตรีที่ไม่เคยตั้งครรภ์หรือตั้งครรภ์น้อยครั้งอาจมีความเสี่ยงต่ออุบัติการของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้เช่นกัน จากสถิติของจำนวนผู้ป่วยมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกในญี่ปุ่นพบว่าประมาณ 80-90% เป็นสตรีวัยทองที่มีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวอย่างน้อย 1 อย่าง ส่วนอีกราว 10% เป็นสตรีที่ไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงแต่มีประวัติของคนในครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง ไม่ว่าจะเป็นสตรีวัยเจริญพันธุ์หรือสตรีวัยทองล้วนสามารถล่วงรู้หรือเฝ้าระวังการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกที่มีอาการบ่งชี้สำคัญคือ การมีเลือดออกทางช่องคลอดโดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งนี้เป็นข้อสังเกตร่วมกับปริมาณเลือดที่มากหรือน้อยกว่าปกติ รวมถึงสีของเลือดที่ผิดแปลกไปเช่น เป็นสีแดงออกน้ำตาล  ในทางตรงกันข้ามการมีเลือดออกทางช่องคลอดโดยไม่ทราบสาเหตุไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นอาการเริ่มแรกของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกเสมอไป เนื่องเพราะยังมีสาเหตุอื่นที่ทำให้มีเลือดออกทางช่องคลอดได้เช่น ประจำเดือนที่ไม่สม่ำเสมอ, เนื้องอกชนิดธรรมดา, พังผืดในมดลูก, การรับประทานยาหรืออาหารบางประเภทที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเอสโตรเจนโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ เป็นต้น ภาวะเลือดออกทางช่องคลอดโดยไม่ทราบสาเหตุไม่ใช่เรื่องน่าอาย อีกทั้งเทคนิคการตรวจคัดกรองมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกก็ทำได้ง่าย ดังนั้นควรรีบปรึกษาสูตินรีแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง  เพราะข้อเท็จจริงสำคัญประการหนึ่งก็คือมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกสามารถเฝ้าระวังและป้องกันในเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง  นอกจากนี้การตรวจร่างกายประจำปีโดยละเอียดก็มีส่วนช่วยป้องกันมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกรวมถึงมะเร็งชนิดอื่นได้อีกทางหนึ่งก่อนที่จะเกิดแสดงอาการ ซึ่งแม้หากตรวจพบมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกก็ตาม การทราบผลตั้งแต่ในระยะแรกจะช่วยเพิ่มโอกาสการรักษาให้หายขาดได้ทันท่วงที  *BMI ย่อมาจาก Body

Read More

เปิดเมนูอร่อยแทนขนมขบเคี้ยว

 รู้ทั้งรู้ว่าวงการแพทย์รณรงค์มานาน ให้หลีกเลี่ยงอาหารประเภทขนมขบเคี้ยวที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพหลายด้าน ไม่ว่าน้ำหนักตัวที่พุ่งกระฉูดจากความหวาน ไขมัน และแป้งที่เป็นส่วนผสมหลักของอาหารประเภทนี้ ส่วนความเค็มนั้นเป็นมหันตภัยต่อผู้ป่วยโรคไตและความดันโลหิตสูงโดยตรง ถึงแม้คุณจะเป็นคนสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง แต่ถ้าบริโภคเกลือโซเดียมในปริมาณมากเกินไป ย่อมส่งผลให้คุณป่วยเป็นโรคไตและความดันโลหิตสูงได้โดยไม่รู้ตัวเช่นกัน แต่อาหารขบเคี้ยวก็ยังเป็นของโปรดของเรา ๆ ท่าน ๆ อยู่ดี ข่าวดีคือ เมื่อรู้สึกอยากกินจุบกินจิบ คุณมีทางเลือกที่ดีกว่าขนมขบเคี้ยวและดีต่อสุขภาพ ลองติดตามอ่านดูสิ บาร์ธัญพืชดีกว่าเค้กธัญพืชที่อัดเป็นแท่ง (บาร์) แล้วนำไปอบกรอบ มักให้พลังงานต่อหน่วยไม่เกิน 150 แคลอรี แต่ช่วยบรรเทาความอยากขนมขบเคี้ยวได้อย่างชะงัด ที่สำคัญเมื่อกินเข้าไปแล้ว ร่างกายยังได้รับกากใย วิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็นอีกหลายชนิด ส่วนเค้กที่อยู่ในรูปของอาหารว่าง นอกจากจะมีน้ำตาลและน้ำเชื่อมเป็นส่วนประกอบสำคัญ ยังให้พลังงานสูงระหว่าง 200 – 300 แคลอรีต่อหน่วย แต่ไม่มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอื่นใดอีก ทั้งยังมีแป้งสูงกว่าด้วย อาหารว่างทำจากน้ำผลไม้ดีกว่าลูกกวาดเคลือบน้ำตาลกลิ่นผลไม้ถ้าคุณไม่สะดวกในการหาผลไม้สดกิน อาหารว่างที่ทำจากน้ำผลไม้เป็นของทดแทนได้อย่างวิเศษ เพราะนอกจากปราศจากไขมันแล้ว น้ำผลไม้เข้มข้นที่เป็นวัตถุดิบหลักของอาหารว่างประเภทนี้ยังให้วิตามินเอ ซี และอี ผิดกับลูกกวาดเคลือบน้ำตาลกลิ่นผลไม้ที่มีแต่น้ำตาล น้ำเชื่อม และน้ำมันพืช ซึ่งหมายถึงคุณได้รับพลังงาน น้ำตาล และไขมันมากกว่าอาหารว่างที่ทำจากน้ำผลไม้ ผักผลไม้อบกรอบดีกว่าคุกกี้ช็อกโกแลตชิพเวลานึกอยากกินขนมขบเคี้ยวกรุบกรอบ หันมากินผลไม้หรือผักอบกรอบประเภทแอปเปิล สับปะรด กล้วย แครอต ฟักทอง

Read More

ผลไม้มหัศจรรย์ ลดน้ำตาลในเลือด

 ตอนที่แล้วพูดถึงผลการศึกษาล่าสุดที่ระบุว่า เมื่อถึงปี 2050 จะมีผู้ใหญ่ป่วยเป็นเบาหวานมากถึงทุก 1 ใน 3 คน และพูดถึงแนวทางการป้องกันเนื่องจากเบาหวานเป็นโรคไม่ติดต่อที่ป้องกันได้สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวานอยู่แล้ว เรามีของฝากมาให้เหมือนกัน ผลไม้มหัศจรรย์ ลดน้ำตาลในเลือด เห็นทีผู้ป่วยเบาหวานที่คิดว่าการกินผลไม้ทำให้ได้รับน้ำตาลมากเกินไป ต้องคิดใหม่เสียแล้ว ผลการวิจัยใหม่ยืนยันว่า ผู้ป่วยเบาหวานที่กิน “ฟรุกโตส” ซึ่งเป็นน้ำตาลเชิงเดี่ยว (simple sugar) ในผลไม้และผักในปริมาณพอเหมาะ สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้นด้วยซ้ำ ผลการศึกษายังบ่งชี้ว่า ฟรุกโตสทำปฏิกิริยาต่อน้ำตาลในเลือดคล้ายคลึงกับการกินยาลดน้ำตาลในเลือด John Sievenpiper, MD. กล่าวว่า “เราพบว่าฟรุกโตสในผลไม้และผักช่วยให้ร่างกายของคุณเผาผลาญน้ำตาลกลูโคสได้ดีขึ้น” นอกจากนี้ ในที่ประชุมประจำปีของสมาคมโรคเบาหวานแห่งอเมริกา ยังรายงานผลการศึกษาที่พบว่า การกินลูกเกดวันละ 3 เวลา สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้นในช่วงหลังจากกินอาหารอิ่มแล้ว และแนะนำให้โรยลูกเกดลงในถ้วยโยเกิร์ตไขมันต่ำที่คุณกินเป็นอาหารเช้า หรือไม่ก็พกถุงลูกเกดติดตัวสำหรับเป็นอาหารว่างได้ตลอดเวลา ที่มา: นิตยสาร PreventionGuide  15 แนวทางลดน้ำหนักในผู้ป่วยเบาหวาน 1. เดินการเดินนาน 30 นาทีเผาผลาญพลังงานราว 150 แคลอรี คุณไม่จำเป็นต้องใช้วิธีตั้งหน้าตั้งตาเดินให้ครบเวลาในคราวเดียว แต่ปรับให้การเดินเข้ามาอยู่ในกิจกรรมการดำเนินชีวิตอย่างกลมกลืนก็ได้ เช่น เดินเร็วไปยังสวนสาธารณะใกล้บ้านเพื่อกินอาหารเที่ยง หรือแทนการนั่งดูรายการกีฬาทางทีวี ให้เปลี่ยนเป็นการเดินเล่นในสวนสาธารณะ แล้วดูเด็กๆ เตะฟุตบอลในสนาม ซึ่งให้ความสนุกสนานในอีกบรรยากาศหนึ่ง ข้อสำคัญต้องไม่ลืมตรวจดูสภาพเท้าของคุณอย่างละเอียดทั้งช่วงก่อนและหลังการเดิน

Read More