Home > เลือกตั้งสหรัฐ

จับตาเลือกตั้งสหรัฐฯ นโยบายของทรัมป์อาจดันให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น ด้านนโยบายของแฮร์ริสกลับเน้นเป้าหมายชัดเจนกว่า

ฝ่ายกลยุทธ์ตลาด ธนาคารยูโอบี วิเคราะห์การเลือกตั้งสหรัฐฯ นโยบายของทรัมป์อาจดันให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น ด้านนโยบายของแฮร์ริสกลับเน้นเป้าหมายชัดเจนกว่า – แต่ไม่ว่าใครจะชนะ ก็ต้องเผชิญกับปัญหาหนี้สินเรื้อรังของสหรัฐฯ อยู่ดี ในช่วงที่เหลือของปี 2567 และต่อเนื่องไปถึงปี 2568 มีความเสี่ยงสำคัญ 3 ประการที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ 1. ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ขยายวงกว้างขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และดันราคาพลังงานให้สูงขึ้น 2. ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนว่าจะเพียงพอต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจหรือไม่ และ 3. การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบมากที่สุด ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อัตราดอกเบี้ย และค่าเงินดอลลาร์ นอกจากนี้ ผลกระทบดังกล่าวอาจส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วเศรษฐกิจโลก รวมถึงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย ผลสำรวจความคิดเห็นชี้ว่านางกมลา แฮร์ริส ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต มีคะแนนนำเหนือนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ด้วยระบบคณะผู้เลือกตั้งของสหรัฐฯ ผลการลงคะแนนเสียงในรัฐที่ไม่ได้เป็นฐานเสียงของพรรคใดจะเป็นตัวกำหนดผลการเลือกครั้งนี้ ซึ่งผู้สมัครทั้งสองมีคะแนนสูสีมากในหลายรัฐดังกล่าว จึงยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าใครจะคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ นโยบายของทรัมป์อาจดันเงินเฟ้อสูงขึ้น นักวิเคราะห์หลายท่านระบุถึงความเสี่ยงที่นโยบายของทรัมป์อาจทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ระหว่างการหาเสียง ทรัมป์ประกาศสนับสนุนให้มีการเพิ่มภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าหลายรายการ โดยเสนอให้เพิ่มภาษีนำเข้าจากจีนอย่างมีนัยสำคัญสูงสุดถึงร้อยละ 60

Read More

ชัยชนะของ โจ ไบเดน และอานิสงส์ที่ไทยได้รับ

ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากจะส่งผลให้ โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังจะกลายเป็นอดีตประธานาธิบดี โดยมีโจ ไบเดน ในวัย 77 ปี ซึ่งชนะการเลือกตั้งกลายเป็นว่าที่ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาคนใหม่ พร้อมกับสถิติการเป็นประธานาธิบดีที่มีอายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายหลังปรากฏผลการเลือกตั้งที่ชัดเจนมากขึ้น ในด้านหนึ่งได้รับการประเมินว่าจะทำให้ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกที่อยู่ในภาวะชะงักงันจากผลของกรณีพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่ต่อเนื่องยาวนานน่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น จากผลของนโยบายด้านการต่างประเทศของโจ ไบเดน ที่มีลักษณะผ่อนปรนและประนีประนอมมากกว่านโยบายแข็งกร้าวที่โดนัลด์ ทรัมป์ ดำเนินมาตลอดระยะ 4 ปีที่เขาครองอำนาจในทำเนียบขาว นักวิเคราะห์จำนวนมากประเมินว่า นโยบายของโจ ไบเดน จะมีผลต่อเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจภูมิภาค เศรษฐกิจไทย และตลาดการเงิน รวมทั้งธุรกิจอุตสาหกรรมต่างๆ หลากหลายลักษณะ ซึ่งโดยภาพรวมเป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากโจ ไบเดนมีแนวคิดทางการเมืองและเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมผสมสังคมนิยมประชาธิปไตยอ่อนๆ ถือเป็นกลุ่มผู้นำทางการเมืองสายกลาง ซึ่งจะทำให้การเผชิญหน้าทางการเมือง เศรษฐกิจ และการทหารในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกจะลดลง และมีเสถียรภาพ สันติภาพมากขึ้น ขณะที่ระบบการค้าเสรีของโลกภายใต้ข้อตกลงแบบพหุภาคี จะกลับมามีบทบาทมากขึ้น โดยสหรัฐอเมริกาอาจเริ่มต้นพิจารณาเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership: CPTPP) อีกครั้ง

Read More