ฤๅกำลังเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 ?
ข่าวการลอบสังหารเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำตุรกีอย่างอุกอาจ ขณะกำลังกล่าวสุนทรพจน์เปิดนิทรรศการศิลปะ “รัสเซียในมุมมองของชาวเติร์ก” (Russia as seen by Turks) ภายในหอศิลป์กลางกรุงอังการา เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมถึงเหตุรถบรรทุกพุ่งเข้าชนตลาดคริสต์มาสกลางกรุงเบอร์ลิน กำลังส่งสัญญาณและสร้างความหวั่นวิตกในระดับนานาชาติอย่างกว้างขวาง เพราะในขณะที่รัฐบาลรัสเซียและตุรกี พยายามเร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์ให้เป็นปกติอีกครั้งหลังจากที่ทั้งสองประเทศมีเหตุบาดหมางกัน จากกรณีที่ตุรกียิงเครื่องบินรบของรัสเซียตกใกล้พรมแดนซีเรีย เมื่อปีที่ผ่านมา จนเป็นเหตุให้รัสเซียออกมาตรการคว่ำบาตรและกดดันตุรกีหลากหลาย โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจเป็นการตอบโต้ เหตุการณ์ยิงสังหารเอกอัครราชทูตรัสเซียครั้งนี้ เกิดขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังการประท้วงใหญ่ในตุรกี ซึ่งผู้ประท้วงคัดค้านการที่รัสเซียเข้าแทรกแซงในซีเรียด้วย ทำให้ผู้นำของทั้งตุรกีและรัสเซียต้องออกมาแถลงยืนยันว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อความพยายามที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ โดยต่างระบุว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นความจงใจที่จะยั่วยุและทำลายให้เกิดความร้าวฉานระหว่างรัสเซียและตุรกี ซึ่งความพยายามที่ว่านี้จะไม่มีวันสำเร็จ ขณะที่ Vladimir Putin ประธานาธิบดีรัสเซีย แถลงผ่านโทรทัศน์ระบุว่า เหตุดังกล่าวเป็นการยั่วยุที่มุ่งขัดขวางการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติที่กำลังดำเนินอยู่ รวมทั้งขัดขวางกระบวนการไปสู่สันติภาพในซีเรียด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างไรก็ตาม คณะเจ้าหน้าที่สืบสวนจากรัสเซียจะเดินทางไปยังตุรกี เพื่อร่วมสอบสวนกรณีดังกล่าวอย่างเร่งด่วน ก่อนหน้านี้ ทั้งรัสเซียและตุรกีได้ร่วมมือกันเพื่อหาทางอพยพผู้คนออกจากเมืองอเลปโปของซีเรีย ควบคู่กับความพยายามที่จะนัดหารือครั้งสำคัญระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซีย ตุรกี และอิหร่าน เรื่องสงครามกลางเมืองในประเทศซีเรีย เพื่อแสวงหาหนทางในการยุติภาวะสงครามที่ยืดเยื้อยาวนานในซีเรีย ซึ่งมีรายงานว่า การหารือดังกล่าวจะยังคงเดินหน้าต่อไป แม้จะเกิดเหตุยิงทูตรัสเซียขึ้นก็ตาม ข่าวร้ายว่าด้วยการก่อร้ายในยุโรปไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเท่านี้ หากแต่ในวันเดียวกันนี้ ด้วยเวลาไล่เลี่ยกันไม่ถึงชั่วโมง ก็เกิดเหตุรถบรรทุกวิ่งเข้าชนฝูงชนที่กำลังจับจ่ายและซึมซับบรรยากาศของตลาดคริสต์มาสกลางกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจและทางการรัฐบาลเยอรมนีประเมินปรากฏการณ์นี้ให้มีสถานะเป็นการก่อการร้าย ขณะที่ยังไม่สามารถควบคุมตัวผู้ก่อเหตุได้ การโจมตีครั้งล่าสุดนี้ นอกจากจะเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ก่อการร้ายครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายทศวรรษของเยอรมนีแล้ว ยังทำให้หลายฝ่ายนึกย้อนไปถึงเหตุโจมตีที่เมืองนีซ ประเทศฝรั่งเศส
Read More