บุญสม จารุศิริธรางกูร ที่ปรึกษาด้านความเสี่ยงทางการเงิน ดีลอยท์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศร่างแนวทางการอนุญาตให้จัดตั้งธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank Licensing Framework – BoT Consultative Paper) ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทำให้มีนักลงทุนจากหลากหลายอุตสาหกรรม มีความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในการเปิดกิจการธนาคารพาณิชย์ไร้สาขาจำนวนมาก ทั้งจากภาคธุรกิจธนาคารพาณิชย์เดิม กลุ่มสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ หรือนักลงทุนที่มีการลงทุนในกลุ่มธุรกิจฟินเทคทั้งในและต่างประเทศ
เนื่องจาก ธปท.ไม่ได้เปิดให้มีการจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ใหม่มาเป็นระยะเวลานานและการเปิดให้มีการขออนุญาตในครั้งนี้ ได้เปิดกว้างให้กับนักลงทุนในทุกกลุ่มที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือต้องเป็นนักลงทุนในประเทศเท่านั้น นอกจากนี้ธนาคารที่มีในปัจจุบันของประเทศไทยทั้งธนาคารพาณิชย์และสถาบันการการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่รับเงินฝากจากประชาชนทั่วไปนั้นมีจำนวนไม่มากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรในประเทศ โดยธนาคารพาณิชย์ในประเทศเพียง 17 แห่งและสถาบันการเงินเฉพาะกิจอีก 3 แห่ง ดังนั้นจึงถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนที่จะเข้ามาเปิดธนาคารเพิ่มเติม โดยมุ่งไปที่กลุ่มลูกค้าที่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินที่มีอยู่ของระบบธนาคาร หรืออาจแชร์ส่วนแบ่งทางตลาดจากกลุ่มลูกค้าเดิมในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามการดำเนินธุรกิจสำหรับธนาคารพาณิชย์ประเภทใหม่นี้ อาจไม่ง่ายนักที่จะประสบความสำเร็จในระยะสั้น เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ในปัจจุบันล้วนแล้วแต่เปิดมานาน เป็นที่รู้จักของประชาชนทั่วไป มีช่องทางการบริการที่หลากหลายทั้งผ่านสาขา การบริการผ่านโทรศัพท์มือถือ และผ่านอินเตอร์เนตแบงกิ้งอยู่แล้ว ทำให้ผู้เข้ามาใหม่อาจไม่สามารถที่จะแข่งขันได้โดยง่ายเพียงการนำเสนอบริการในรูปแบบธนาคารปรกติ หรือเจาะจงกับฐานลูกค้าเดิมของธนาคารพาณิชย์แบบดั้งเดิม
โอกาสที่จะเติบโตของธนาคารไร้สาขานั้น ธนาคารอาจต้องมุ่งไปสู่
1. กลุ่มลูกค้าที่เป็นฐานลูกค้าเก่าของนักลงทุนเอง กลุ่มลูกค้าเก่าของนักลงทุนจะเป็นกลุ่มลูกค้าที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย และมีต้นทุนในการจัดหา (Acquisition cost) ที่ต่ำเมื่อเทียบกับกลุ่มลูกค้าอื่น
2. กลุ่มลูกค้าที่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการธนาคารในปัจจุบัน ได้แก่กลุ่มลูกค้า เช่น
Virtual Bankingธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา Read More