วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 21, 2024
Home > On Globalization > “ฮอกไกโด” โดนบุก

“ฮอกไกโด” โดนบุก

 
เมื่อวันคืนบนปฏิทินเริ่มเคลื่อนเข้าใกล้เดือนพฤศจิกายน ดูเหมือนว่าธุรกิจการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นก็กลับมามีชีวิตชีวาและเริ่มคึกคักขึ้นอีกครั้งเหมือนกันนะคะ
 
ตามสถานีรถไฟ รวมถึงตัวแทนจำหน่ายบัตรโดยสารและโปรแกรมการท่องเที่ยวที่มีอยู่เกือบจะทุกห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ต่างออกมาประชันขันแข่งและเร่งระดมกระตุ้นให้ผู้คนเดินทางท่องเที่ยวกันขนานใหญ่ ซึ่งจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ต่อเนื่องไปถึงฤดูหนาว ก็คงต้องเป็นโปรแกรมที่มีไฮไลต์อยู่ที่การไปออนเซน แช่ตัวในบ่อน้ำพุร้อน หรือการเดินทางไปลุยหิมะเล่นสกีกันเลย
 
ซึ่งฮอกไกโดดูจะเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในช่วงหน้าหนาวนี้อย่างยากที่จะหาจุดหมายปลายทางอื่น มาเทียบได้จริงๆ และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวก็ถือเป็นหัวใจหลักสำคัญในเชิงเศรษฐกิจสำหรับฮอกไกโดเลยทีเดียว เพราะกว่า 3 ใน 4 ของรายได้ที่ประชากรชาวฮอกไกโดได้รับล้วนเกี่ยวเนื่องกับภาคธุรกิจบริการจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั้งสิ้น
 
แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่คนญี่ปุ่น หรือนักท่องเที่ยวจากเมืองไทย ที่หลงใหลมนต์เสน่ห์ของฮอกไกโด เพราะในวันนี้ฮอกไกโดกำลังโดนบุกและมีแนวโน้มจะถูกยึดไปทีละน้อยแล้วล่ะคะ
 
เพราะจากตัวเลขสถิติล่าสุด ได้สร้างความหวั่นใจให้กับคณะผู้บริหารและปกครองฮอกไกโดพอสมควร ถึงขนาดที่ต้องออกกฎเกณฑ์ควบคุมการทำธุรกรรมสำหรับชาวต่างชาติไปด้วยในตัว
 
เหตุที่มาแห่งความไม่สบายใจของชาวฮอกไกโด มาจากผลสำรวจในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งปรากฏว่าพื้นที่ป่าไม้กว่า 1,000 เฮกตาร์ ถ้าเทียบก็เท่ากับ 10 ตารางกิโลเมตร หรือ 6,250 ไร่ของฮอกไกโด ถูกถือครองโดยชาวต่างชาติมากถึง 57% และหากจำแนกลึกลงไปต้องบอกว่า 21% เป็นการถือครองโดยชาวจีนและบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศจีน
 
เมื่อปรากฏตัวเลขอย่างนี้ ทำให้หน่วยราชการในฮอกไกโดต้องรับออกมาวางกฎเกณฑ์ใหม่ๆ เพื่อทำให้การเปลี่ยนมือถือครองที่ดินทำได้ช้าลง โดยเฉพาะประเด็นที่สงวนสิทธิให้หน่วยราชการสามารถ “ให้คำแนะนำ” ในการซื้อขายที่ดิน โดยเฉพาะในเขตที่มีพื้นที่ป่าไม้ และเส้นทางน้ำผ่าน
 
การออกกฎเกณฑ์เช่นนี้ ในด้านหนึ่ง ทำให้ฮอกไกโดถูกจับตามองเหมือนกัน ว่ากำลังกีดกันทางการค้า และโต้ตอบท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์ระหว่างจีนและญี่ปุ่น ที่กำลังมีกรณีพิพาทว่าด้วยการอ้างสิทธิซ้ำซ้อนเหนือหมู่เกาะในทะเลจีน ที่ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันก็ยังไม่กระเตื้องขึ้น
 
ประเด็นที่เกี่ยวเนื่องและมีความสำคัญมาก แต่อาจไม่ได้รับการหยิบยกออกมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน ก็คืฮอกไกโดมิได้มีความสำคัญจำกัดอยู่เฉพาะในเรื่องของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเท่านั้น หากแต่ในความเป็นจริง ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เอื้อต่อการเพาะปลูก ทำให้ฮอกไกโดมีฐานะเป็นแหล่งผลิตและสร้างอาหารขนาดใหญ่ทั้งพืชผลจากการเกษตรกรรมและการปศุสัตว์ เรียกได้ว่าเป็นห้องครัวขนาดใหญ่สำหรับคนญี่ปุ่นได้อย่างสบายๆ
 
การเข้าถือครองที่ดินหรือพื้นที่ป่าขนาดใหญ่โดยทุนจากต่างประเทศ ในด้านหนึ่งจึงเสมือนกับการโดนบุกเข้ามายึดโรงครัวและพร้อมที่จะถูกปล้นเสบียงได้โดยง่าย ประเด็นเหล่านี้เกี่ยวเนื่องไปสู่ประเด็นด้านความมั่นคง โดยเฉพาะความมั่นคงทางอาหาร ที่กำลังเป็นเงื่อนไขในความสัมพันธ์ของประชาคมโลกยุคปัจจุบัน
 
แม้อากาศจะหนาวเย็นลง แต่อุณหภูมิความร้อนของกรณีดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ว่าราชการจังหวัดฮอกไกโด ต้องรีบออกมาแถลงยืนยันท่าทีว่า มิได้มีเจตนาเป็นปฏิปักษ์กับนักท่องเที่ยวชาวจีน หรือธุรกิจการลงทุนจากจีนแต่อย่างใด เพราะ “เป็นไปไม่ได้ที่ชาวฮอกไกโดจะเกลียดชังชาวจีน”
 
พร้อมกับย้ำด้วยว่า ฮอกไกโดพร้อมให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวจากจีน รวมถึงการลงทุนด้านการท่องเที่ยวจากนักธุรกิจจีนเสมอ ซึ่งหลักเกณฑ์ที่มีออกมาก็เพื่อคุ้มครองให้ธรรมชาติและแหล่งอาหารที่เลิศรสของฮอกไกโด มีความยั่งยืนและเป็นสถานที่ที่มีเสน่ห์สำหรับชาวจีนในการเดินทางมาท่องเที่ยวพักผ่อนไปได้อีกนาน
 
ลำพังในช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและญี่ปุ่นอยู่ในช่วงที่ราบรื่น และเต็มไปด้วยความร่วมมือ ประเด็นปัญหาเหล่านี้อาจไม่ค่อยส่งผลในเชิงจิตวิทยามากนัก
 
แต่ในห้วงยามที่ความสัมพันธ์ระหว่างกรุงปักกิ่งและกรุงโตเกียว มีเครื่องส่งและเครื่องรับสัญญาณที่ดูเหมือนจะปรับจูนเครื่องให้ตรงกันได้ยากนี้ บางทีหน่วยงานระดับภูมิภาคอย่างฮอกไกโด อาจเป็นตัวแปรใหม่ในความสัมพันธ์
 
ซึ่งดูเหมือนผู้ว่าราชการฮอกไกโด ก็ตระหนักในเรื่องนี้ ถึงขนาดแอบหวังว่าฮอกไกโดจะช่วยสานสัมพันธ์และเจริญไมตรีกับจีนในระดับภูมิภาคได้บ้าง ในห้วงยามที่ความสัมพันธ์ระดับชาติย่ำแย่อยู่นี้
 
การทูตว่าด้วยการท่องเที่ยวแบบฮอกไกโด จะสัมฤทธิผลอย่างไรหรือไม่ ไม่เกินฤดูใบไม้ผลิปีหน้าคงได้คำตอบ