เมื่อจอร์จส์ บราค (Georges Braque) ถึงแก่กรรมในวันที่ 31 สิงหาคม 1963 รัฐบาลฝรั่งเศสจัดพิธีศพให้โดยมีอองเดร มัลโรซ์ (André Malraux) รัฐมนตรีวัฒนธรรมในขณะนั้นกล่าวคำสดุดี ถือเป็นจิตรกรคนเดียวที่รัฐให้ความสำคัญ
จอร์จส์ บราคเกิดในปี 1882 ที่อาร์จองเตย (Argenteuil) พ่อเป็นช่างทาสี แต่ชอบเขียนรูปตอนวันหยุด เป็นรูปทิวทัศน์สไตล์อิมเพรสชั่นนิสต์ เมื่อครอบครัวย้ายไปเมืองเลอ อาฟวร์ (Le Havre) จอร์จส์ บราคชอบไปเตร็ดเตร่แถวท่าเรือ ถึงกระนั้นก็เข้าเรียนที่ Ecole supérieure d’art และเรียนเป่าขลุ่ยในเวลาเดียวกัน เขาเดินทางไปปารีสในปี 1900 ฝึกงานกับจิตรกรที่รับตกแต่งภายใน แล้วกลับมาเลอ อาฟวร์เพื่อรับราชการทหาร เมื่อออกประจำการ จึงเป็นจิตรกรเต็มตัว ในปี 1902 ไปปารีสอีก พำนักย่านมงต์มาร์ทร์ (Montmartre) จึงได้พบกับมารี โลรองแซง (Marie Laurencin) เขาพาเธอไป Bateau-Lavoir ซึ่งเป็นศูนย์รวมอาร์ติสต์ดังอย่างปาโบล ปิกัสโซ (Pablo Picasso) มักซ์ จาคอบ (Max Jacob) อะโปลลิแนร์ (Apollinaire) และสนับสนุนให้เธอเขียนรูป
จอร์จส์ บราคเข้าศึกษาที่ Ecole des Beaux-Arts ที่ปารีส จึงได้รู้จักกับโอตง ฟรีซ (Othon Friesz) และราอูล ดูฟี (Raoul Dufy) เขาไปชมภาพเขียนอิมเพรสชั่นนิสต์ที่พิพิธภัณฑ์ลุกซองบูรก์ (Musée du Luxembourg) อันมีภาพของกุสตาฟ ไกยบ็อต (Gustave Caillebotte) และไปตามอาร์ตแกลเลอรีของดูรองด์–รูเอล (Durand-Ruel) และอองบร็วส โวลลารด์ (Ambroise Vollard) ซึ่งเป็นพ่อค้างานศิลป์ชื่อดัง
จอร์จส์ บราคไปเขียนรูปกับโอตง ฟรีซ ภาพเขียนแรกๆ ของเขาเป็นแบบโฟวิสม์ (fauvisme) ซึ่งได้แสดงที่ Salon d’automne ร่วมกับอองรี มาติส (Henri Matisse) และอองรี เดอแรง (André Derain) รวมทั้งจิตรกรอื่นๆ ในกระแส fauvisme จอร์จส์ บราคศึกษาการเขียนรูปของปอล เซซานน์ (Paul Cézanne) เดินทางไปใต้กับโอตง ฟรีซ และเขียนทัศนียภาพของเมือง เลสตาค (L’Estaque) Le viaduc à L’Estaque, La baie de L’Estaque และ Maisons à L’Estaque ภาพหลังนี้ Salon d’automne ไม่ยอมให้เข้าร่วมนิทรรศการในปี 1908 สร้างความประหลาดใจแก่พ่อค้างานศิลป์ชื่อ ดาเนียล–อองรี กาห์นไวเลอร์ (Daniel-Henry Kahnweiler) จึงให้จอร์จส์ บราคนำมาแสดงที่แกลเลอรีของตน ภาพเขียนที่เมือง L’Estaque เริ่มเป็นเหลี่ยมๆ มุมๆ แบบ cubisme โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพ Maisons à l’Estaque ถือได้ว่าจอร์จส์ บราคเป็นผู้นำร่องกระแส cubisme ไม่ใช่ปาโบล ปิกัสโซ และดาเนียล–อองรี กาห์นไวเลอร์นี่เองที่แนะนำจอร์จส์ บราคให้รู้จักกับอะโปลลิแนร์ ซึ่งพาจอร์จส์ บราคไปที่ Bateau-Lavoir จึงได้รู้จักปาโบล ปิกัสโซ จอร์จส์ บราคได้เห็นภาพ Demoiselles d’Avignon ซึ่งปาโบล ปิกัสโซยังวาดไม่เสร็จ ทำให้เขาเลิกเขียนภาพแบบ fauvisme และมั่นใจในการค้นหารูปแบบใหม่ของตน กล่าวคือ การเขียนภาพแบบ cubisme รูปทรงเรขาคณิต
เนื่องจากจอร์จส์ บราคเป็นคนเก็บตัว ไม่ช่างพูด ชื่อเสียงของเขาจึงดูเงียบๆ ต่างจากปาโบล ปิกัสโซที่โฉ่งฉ่าง เขาจึงเป็นที่รู้จักมากกว่า ยิ่งเมื่อปาโบล ปิกัวโซเข้าสังคมของเกอทรูด สไตน์ (Gertrude Stein) นักวิจารณ์ศิลปะชาวอเมริกันที่มาพำนักในปารีส ทำให้สังคมอเมริกันรู้จักปาโบล ปิกัสโซมากกว่า
Papier collé การติดกระดาษและวัสดุอื่นๆ บนภาพเขียนก็เป็นความริเริ่มของจอร์จส์ บราคในปี 1912 ในขณะที่ปาโบล ปิกัสโซนำ Papier collé มาแสดงต่อดาเนียล–อองรี กาห์นไวเลอร์ในปี 1955 เป็นการอวดอ้างว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์ของตน
จอร์จส์ บราคถูกเกณฑ์ไปสงครามโลกครั้งที่ 1 เขาได้รับบาดเจ็บจนเขียนรูปไม่ได้เป็นเวลาหนึ่งปี เขาหันมาเขียนรูป Nature morte และภาพชุดเปลือย เช่น Nu debout และ Le grand nu ซึ่งสะท้อนอิทธิพลของปอล เซซานน์ จิตรกรที่เขาชื่นชม
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จอร์จส์ บราคไม่ยอมไปเบอร์ลินตามเพื่อนจิตรกรอย่างอองเดร เดอแรง หรือโมริซ เดอ วลาแมงค์ (Maurice de Vlaminck) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จอร์จส์ บราคเขียนรูปสดใสขึ้น ดังเช่นภาพชุดนก พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Louvre) ขอให้เขาเขียนภาพบนเพดานห้องอองรีที่ 2 (salle Henri II) ในปี 1953 เขาเขียนรูปนก และพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้จัดนิทรรศการ L’atelier de Braque ในปี 1961 นับเป็นนิทรรศการแรกที่จัดขึ้นขณะที่จิตรกรยังมีชีวิตอยู่ เขาถอยห่างจากปาโบล ปิกัสโซซึ่งฝักใฝ่พรรคคอมมิวนิสต์
ในปี 1953 จอร์จส์ บราคหันมาสนใจปั้นรูป ออกแบบฉากและเครื่องแต่งกายให้บัลเลต์หลายเรื่อง และออกแบบเครื่องประดับซึ่งรัฐซื้อไว้ทั้งหมด เก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์อารต์ เดโก (Musée des arts décoratifs) และศูนย์ศิลปวัฒนธรรมแห่งชาติจอร์จส์ ปงปิดู (Centre national d’art et de culture Georges Pompidou)
เมื่อจอร์จส์ บราคป่วยหนัก อัลแบร์โต จาโกเมตตี (Alberto Giacometti) ได้ไปเยี่ยม และเขียนรูปเขาขณะถึงวาระสุดท้ายบนเตียงนอน ต่อมาในปี 1964 แกลเลอรีมากต์ (Galerie Maeght) จัดนิทรรศการ Hommage à Georges Braque และในปี 1965 ภรรยาของเขามอบผลงานที่เก็บไว้แก่รัฐ เป็นภาพเขียน 14 รูป และประติมากรรม 5 ชิ้น
นิทรรศการ Rétrospective Georges Braque จัดที่กรองด์ ปาเลส์ (Grand Palais) ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2013 แสดงผลงานเริ่มตั้งแต่ยุค fauvisme และ cubisme จนถึงการเขียนภาพ nature morte หรือ still life ในภาษาอังกฤษ รวมทั้งภาพเปลือยและภาพภายในอาคาร อีกทั้งยุคที่เขาไปพำนักที่เมืองวารองจ์วิล (Varengeville) ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นช่วงที่เขาสนใจประติมากรรม ภาพชุด Ateliers ช่วงสุดท้ายของชีวิต เขาเขียนภาพทิวทัศน์ และภาพนก
นอกจากภาพเขียนแล้ว นิทรรศการยังนำบันทึก หนังสือ รูปถ่ายและความชื่นชอบดนตรีของเขามาแสดงด้วย