“พีทีจี เอ็นเนอยี” กำลังเร่งรุกตลาดครั้งใหญ่ ทั้งธุรกิจน้ำมันและธุรกิจนอนออยล์ หลังปรับภาพลักษณ์องค์กร เปิดสถานีบริการน้ำมัน “พีที” รูปโฉมใหม่ ยกเครื่องร้านสะดวกซื้อ “แมกซ์มาร์ท” และขยายธุรกิจร้านกาแฟ “พันธุ์ไทย” จนแซงหน้าคู่แข่งขึ้นแท่นเบอร์ 2 และตั้งเป้าหมายใหม่ โค่นแชมป์ค่ายน้ำมันยักษ์ใหญ่อย่าง ปตท.
ตามแผนเบื้องต้น นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า ในปี 2560 บริษัทตั้งงบลงทุนรวม 5,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุนขยาย-ปรับปรุงสถานีบริการน้ำมัน 3,000 ล้านบาท และกลุ่มธุรกิจนอนออยล์ อีก 2,000 ล้านบาท โดยเร่งขยายสถานีบริการน้ำมันครบ 1,500 แห่งในปี 2559 และขยายเพิ่มอีก 350 สาขา ในปี 2560 เพื่อก้าวสู่การเป็นเบอร์ 1 ของผู้ให้บริการสถานีบริการน้ำมันที่มีจำนวนสาขามากที่สุดในประเทศ จากปัจจุบันมากกว่า 1,250 แห่ง
ขณะเดียวกัน ตั้งเป้าหมายภายในปี 2562 จะมีส่วนแบ่งปริมาณขายน้ำมันไม่น้อยกว่า 15% หรือเป็นอันดับ 2 ของผู้ให้บริการสถานีน้ำมันทั้งหมด จากปัจจุบันมีส่วนแบ่งปริมาณขาย 8% หรืออันดับ 5 ของผู้ให้บริการสถานีน้ำมัน และคาดว่าจะมีปริมาณขายน้ำมันเติบโตเฉลี่ย 30-40% ต่อปีต่อเนื่องจนถึงปี 2563
ส่วนธุรกิจนอนออยล์ ได้แก่ ร้านสะดวกซื้อ “แมกซ์มาร์ท” ร้านกาแฟพันธุ์ไทย และผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น แม้ปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้แค่ 1% แต่บริษัทตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนเป็น 15% ในอีก 5 ปีข้างหน้า และเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 60% ภายในปี 2571
ทั้งนี้ ปัจจัยสนับสนุนการรุกตลาดและการเติบโตต่อเนื่องทุกปีมาจากจำนวนสถานีบริการน้ำมันที่เพิ่มขึ้น จำนวนบัตรสมาชิกแมกซ์คาร์ด ซึ่งล่าสุดมีมากกว่า 5 ล้านราย และจะครบ 5.6 ล้านรายในสิ้นปี เฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละ 1.8 ล้านราย ที่สำคัญ คือ ภาพลักษณ์แบรนด์ได้รับการยอมรับจากกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น ทั้งตัวปั๊ม ผลิตภัณฑ์น้ำมัน ร้านค้าปลีกและร้านกาแฟ
นายพิทักษ์กล่าวว่า บริษัทจะเร่งเติมเต็มร้านค้าต่างๆ ในสถานีบริการ โดยล่าสุดดึงร้านอาหารแบรนด์ดังอย่างเคเอฟซีเข้ามาเปิดสาขาแห่งแรกที่สาขาถนนกาญจนาภิเษก และเตรียมเปิดอีก 3 สาขา พร้อมสนับสนุนกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีของไทยเข้ามาดำเนินกิจการในสถานีบริการ เช่น ร้านหมูทอดเจ๊จง เพื่อเพิ่มทราฟฟิกให้ร้านแมกซ์มาร์ทและร้านกาแฟพันธุ์ไทย
ล่าสุด พีทีจียังจับมือกับบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ให้ส่วนลดค่าน้ำมันแก่ลูกค้า TRUE สูงสุด 50 สตางค์ต่อลิตร ส่วนลดค่าเครื่องดื่ม เบเกอรี่ที่ร้านกาแฟพันธุ์ไทย และส่วนลดเมื่อซื้อสินค้าที่ร้านแมกซ์มาร์ท ซึ่งจะช่วยขยายฐานลูกค้าจากกลุ่มสมาชิกทรูที่มีลูกค้ากว่า 26 ล้านราย
นางวิภา บุญปาลิต ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารทั่วไป บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด กล่าวกับ “ผู้จัดการ360 ํ” ว่า บริษัทเตรียมแผนปูพรมสาขาร้านกาแฟพันธุ์ไทยอย่างก้าวกระโดด ทั้งในและนอกสถานีบริการน้ำมันพีที โดยล่าสุดมีสาขามากกว่า 36 แห่ง และจะขยายครบ 55-60 สาขาในสิ้นปีนี้ ส่วนปี 2560 ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 200 สาขาและครบ 400 สาขาในปี 2561
สำหรับโมเดลร้านกาแฟ 3 ขนาด ได้แก่ ไซส์ S ขนาดพื้นที่ 24 ตารางเมตร ไซส์ M ขนาด 48 ตร.ม. ไซส์ L ขนาดประมาณ 80 ตร.ม. และวางแผนจะเปิดร้านขนาดใหญ่ ไซส์ XL พื้นที่ 90-100 ตร.ม. ขึ้นอยู่กับทำเลและพื้นที่ หรือเพิ่มที่นั่งให้พักทำงานในสาขา โดยร้านกาแฟนอกปั๊มน้ำมันเน้นทำเลทั้งในห้างสรรพสินค้า ย่านชุมชน ล่าสุดเริ่มเปิดสาขาในห้างโรบินสัน จ.สกลนคร และ จ.ร้อยเอ็ด เซ็นทรัลพลาซา นครศรีธรรมราช อาคารไซเบอร์เวิลด์ และในสนามบินดอนเมือง
แน่นอนว่า หากเทียบกับเจ้าตลาดอย่าง “คาเฟ่อเมซอน” ของ ปตท. ซึ่งบุกเบิกธุรกิจมากกว่า 14 ปี และเร่งผุดสาขาถึง 1,700 ร้าน หรือร้านอินทนิลของค่ายบางจากที่คาดว่าจะมีสาขารวม 450 แห่งในสิ้นปี ยังดูห่างไกล แต่นางวิภาย้ำจุดขายของ “พันธุ์ไทย” นอกเหนือจากเอกลักษณ์ความเป็นไทย ทั้งตัวร้าน การออกแบบ และโลโก้
ตัวเครื่องดื่มกาแฟจะใช้เมล็ดกาแฟอาราบิก้า 100% และเพิ่มสินค้าสร้างสีสันความเป็นไทย เช่น ชาพันธุ์ไทยเลิฟเวอร์ที ซึ่งผสมผสานชา 3 ชนิด รสชาติหวานมันชา พร้อมเครื่องดื่มอีกกว่า 30 เมนู เมนูอาหารสไตล์ใหม่อย่าง บะหมี่เห็ดออรินจิ และกุ้ง สปาเกตตีไส้อั่ว ข้าวกะเพรากุ้ง-เบคอน และเบเกอรี่ ซึ่งทุกชิ้นผลิตและอบภายในร้านเอง จึงใหม่และสดทุกวัน
ดังนั้น หากนับระยะเวลาตั้งแต่เปิดสาขาแรกในปั๊มน้ำมันพีที อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อ 4 ปีก่อน จนถึงปี 2559 บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย สามารถสร้างรายได้เติบโตมากกว่า 40% และพีทีจีมีแผนนำบริษัทกาแฟพันธุ์ไทยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในอนาคตด้วย
ด้านธุรกิจน้ำมันต้องถือว่า พีทีจีมีจุดได้เปรียบ สามารถเติบโตจากปั๊มน้ำมันท้องถิ่นขึ้นชั้นบริษัทน้ำมันรายใหญ่ เริ่มจากการเลือกที่จะเป็นผู้บริหารสถานีบริการน้ำมันเองส่งผลให้บริษัทได้รับค่าการตลาด (มาร์จิน) จากการจำหน่ายน้ำมันเต็มในอัตรา1.50-1.70 บาท/ลิตร ขณะที่คู่แข่งต้องแบ่งค่าการตลาดให้ดีลเลอร์
มีกองรถบรรทุกน้ำมันของตัวเอง ทำให้ได้เปรียบเชิงการแข่งขัน เมื่อเปรียบเทียบการรับน้ำมันจากโรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์ส่งผ่านระบบท่อน้ำมันมายังจังหวัดสระบุรี จะมีต้นทุน 28 สตางค์/ลิตร แต่พีทีขนส่งด้วยกองรถบรรทุก มีต้นทุนน้อยกว่าเกือบครึ่งหนึ่ง รวมทั้งมีคลังน้ำมันตั้งกระจายทั่วประเทศ ทุกภาค
พีทีจียังเตรียมรุกเข้าสู่ธุรกิจพลังงานทดแทน สร้างโรงงานเอทานอลและพัฒนาโครงการปาล์มคอมเพล็กซ์ ร่วมกับบริษัทท่าฉางอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม ภายใต้ชื่อบริษัท พีพีพี จำกัด เงินลงทุนราว 4,500 ล้านบาท ที่ อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งจะก่อสร้างเสร็จภายในปี 2560
ทว่า สมรภูมิน้ำมันเดือดไม่ใช่เกมง่าย เพราะ ปตท. มีทั้งทุนและเครือข่ายธุรกิจขนาดใหญ่ โดยภายในสิ้นปีนี้จะผุดสถานีบริการน้ำมันครบ 1,575 แห่ง ร้านกาแฟคาเฟ่อเมซอน 1,700 แห่ง ร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น 1,372 สาขา ร้านไก่ทอด เท็กซัสชิคเก้น 11 สาขา ร้านติ่มซำ ฮั่วเซ่งฮง 5-6 สาขา ร้านโดนัท “แด๊ดดี้โด Daddy Dough” อีกปีละ 5-10 แห่ง และเตรียมเปิดธุรกิจโรงแรมราคาประหยัด (Budget Hotel) ในปั๊ม ให้บริการลูกค้าอย่างครบวงจร ราคาไม่เกิน 1,000 บาทต่อคืน เพื่อขยายฐานและการจับจ่ายของลูกค้ามากขึ้น
แม้โอกาสโค่นแชม์ของ “พีทีจี” ไม่กล้วย แต่ถือเป็นแนวรุกที่ ปตท. ประมาทไม่ได้แน่