วันอังคาร, เมษายน 29, 2025
9:10:26 PM
Home > Cover Story > ธณัฐ เตชะเลิศ พา “ลงทุนแมน” เข้าตลาดหุ้นไทย

ธณัฐ เตชะเลิศ พา “ลงทุนแมน” เข้าตลาดหุ้นไทย

ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง” ประโยคคุ้นชินจาก “ลงทุนแมน” เพจเฟซบุ๊กด้านธุรกิจ การเงิน และการลงทุน ที่อยู่ในโลกออนไลน์มานานถึง 8 ปี และสามารถสร้างฐานผู้ติดตามมากขึ้นเป็นลำดับ

จากเพจเฟซบุ๊ก วันนี้ลงทุนแมนกำลังสร้างอีกหนึ่งหลักไมล์แห่งการเติบโตสู่การเป็นบริษัทมหาชน ด้วยการนำบริษัท แอลทีเอ็มเอช จำกัด (มหาชน) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (mai) ที่เปิดเทรดวันแรกไปเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ภายใต้ชื่อหลักทรัพย์ “LTMH” ด้วยราคาเปิดที่ 5.25 บาท พร้อมต่อยอดธุรกิจจากสื่อออนไลน์ที่มีฐานผู้ติดตามกว่า 8 ล้านคนในทุกแพลตฟอร์ม สู่การสร้างระบบนิเวศของความมั่งคั่งด้วยธุรกิจ WealthTech

“ลงทุนแมน” ก่อตั้งโดย ธณัฐ เตชะเลิศ ซึ่งเปิดเพจเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2560 เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวและประเด็นเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม ผ่านภาษาที่เข้าใจง่ายเหมือนเพื่อนเล่าให้เพื่อนฟัง ย่อยเรื่องยากให้เข้าใจง่าย ทำให้เพจลงทุนแมนมีผู้ติดตามมากขึ้นเป็นลำดับ จนหลายคนยกให้เป็นอินฟลูเอนเซอร์ด้านการลงทุน โดยสามารถสร้างฐานผู้ติดตามได้ครบ 1 ล้านคนในเวลาเพียง 2 ปี

“บทความแรกที่ผมเขียนในเพจลงทุนแมนคือเรื่องอาฟเตอร์ยู ที่เขาเพิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งถือเป็นการเปิดตัวเพจลงทุนแมนต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกและเป็นจุดเริ่มต้น จากนั้นเพจก็มีคนติดตามเรื่อยมา โฆษณาต่างๆ เริ่มเข้ามามากขึ้น ทำให้เรามีรายได้และสามารถขยายธุรกิจสร้างการเติบโตได้” ธณัฐ เตชะเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอลทีเอ็มเอช จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงจุดเริ่มต้น

หลังเปิดเพจลงทุนแมนจนได้รับความนิยมในโลกออนไลน์แล้ว ธณัฐเดินหน้าเปิดเพจเฟซบุ๊กอื่นๆ ตามมาอีกหลายเพจ โดยในปีเดียวกันได้เปิดเพจ “MarketThink” เพื่อนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับการตลาด ความคิด ธุรกิจ และเทคโนโลยี ก่อนที่จะจัดตั้งเป็นบริษัทเพื่อประกอบธุรกิจให้บริการสื่อโฆษณาและประชาสัมพันธ์ออนไลน์

ไม่เพียงเปิดเพจเฟซบุ๊ก แต่ในช่วงปี 2561-2562 ลงทุนแมนยังได้พัฒนาแอปพลิเคชัน “Blockdit” แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียสัญชาติไทย พร้อมเปิดเพจ “ลงทุนเกิร์ล” เพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้อ่านที่เป็นผู้หญิงโดยเฉพาะ

ต่อด้วยการเปิดเพจ BrandCase นำเสนอข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ กรณีศึกษา และขยายธุรกิจโดยเปิดให้บริการเป็นที่ปรึกษาและวางแผนการตลาดออนไลน์ (Digital Marketing Solution) ภายใต้ธุรกิจชื่อ “LTMH Rocket” รวมถึงธุรกิจจำหน่ายหนังสือเพิ่มอีกหนึ่งธุรกิจ

นอกจากเปิดเพจเองแล้ว ลงทุนแมนยังขยายช่องทางสื่อและแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยเข้าซื้อเพจ Billionway ในเดือนพฤษภาคม 2565 และเปลี่ยนชื่อเพจเป็น “MONEY LAB” นำเสนอข้อมูลข่าวสารด้านการลงทุนและการเงิน ต่อด้วยการเข้าซื้อเพจ Mao-Investor เพิ่มอีกหนึ่งเพจ เพื่อให้บริการสื่อและโฆษณาของบริษัทฯ อีกทั้งยังต่อยอดจากธุรกิจออนไลน์สู่ออฟไลน์ด้วยการรุกเข้าสู่ธุรกิจจัดอีเวนต์ในรูปแบบการจัดงานเกี่ยวกับการวางแผนและจัดการเกี่ยวกับการเงิน โดยประเดิมด้วยการจัดงาน “Black Swan Forum” ขึ้นเป็นงานแรก

ในส่วนของคอนเทนต์แพลตฟอร์มอย่าง Blockdit ก็มีการพัฒนาฟีเจอร์ต่างๆ เช่น Travel Feed, Blockdit Reserve สำหรับแลกซื้อคูปองส่วนลดจากร้านอาหาร โรงแรม และบริการ, Blockdit Invest สำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับหุ้น เพื่อสร้างคอมมูนิตี้ทางออนไลน์และเป็นช่องทางในการสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ

ช่วงปี 2566-2567 ถือเป็นช่วงที่บริษัทฯ มีการเปลี่ยนแปลงและเติบโตอย่างน่าจับตา โดยในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 3/2566 ที่ประชุมมีมติอนุมัติให้บริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน ภายใต้ชื่อ บริษัท แอลทีเอ็มเอช จำกัด (มหาชน) หรือ LTMH

ตามมาด้วยการจัดตั้งบริษัทย่อย อย่าง “บริษัท เวลท์เอกซ์ แมเนจเมนต์ จำกัด” ประกอบธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์และออกแบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และบริษัทย่อย “บริษัท เวลท์เอกซ์ คอร์ป จำกัด” ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น “บริษัทหลักทรัพย์ เวลท์เอกซ์ จำกัด” เพื่อประกอบธุรกิจให้บริการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่เป็นหน่วยลงทุนหรือตราสารหนี้ ที่สำคัญยังมีการเข้าไปลงทุนในบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด (TALIS) ในสัดส่วนร้อยละ 25 เพื่อเป็นการสร้างฐานสู่ธุรกิจสร้างความมั่งคั่งให้กับคนไทยแบบครบวงจร ทั้งการให้ข้อมูลความรู้ เทคโนโลยีด้านการลงทุน และนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์

“เราอยากทำธุรกิจที่ช่วยเพิ่มความมั่งคั่งให้กับคนไทย พูดง่ายๆ คือ ช่วยให้ทุกคนรวยขึ้น หลายเพจของเราให้ความรู้ด้านการลงทุน สร้างความมั่งคั่ง แต่สิ่งที่อยากทำต่อไปคืออยากให้คนเข้าถึงเครื่องมือในการลงทุนที่เข้าใจง่าย ให้เขาอยู่ในการลงทุนที่เหมาะสม จึงตัดสินใจเข้าสู่ธุรกิจเทคโนโลยีบริหารความมั่งคั่ง โดยใช้ชื่อ เวลท์เอกซ์ (WealthX) ซึ่งเป็นบียูน้องใหม่ล่าสุดที่มาจากประสบการณ์การลงทุนส่วนตัว ปัจจุบันต้องยอมรับว่าการที่จะได้มาซึ่งข้อมูลทางการลงทุนในตลาดมันไม่ได้ง่ายสำหรับคนทั่วๆ ไป เราเห็นว่านี่คือโอกาสที่จะใช้องค์ความรู้ของลงทุนแมนทั้งเรื่องความสามารถในการย่อยข้อมูลที่ซับซ้อนให้มันง่ายขึ้น และความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยี เอามาผสมรวมกัน เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่จะช่วยบริหารความมั่งคั่ง เชื่อว่าจะช่วยให้นักลงทุนไทยสามารถลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นได้จริงๆ”

ปัจจุบัน บริษัท แอลทีเอ็มเอช จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจใน 2 ส่วน ได้แก่ 1. ธุรกิจสื่อและแพลตฟอร์มสื่อออนไลน์ และ 2. ธุรกิจออฟไลน์ สำหรับธุรกิจออนไลน์ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. ธุรกิจสื่อออนไลน์ (Online Media) เพื่อผลิตสื่อ ให้บริการสื่อโฆษณาและประชาสัมพันธ์ออนไลน์ ผ่าน Website และแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ เช่น Facebook, YouTube, Instagram, Blockdit, X, TikTok และ Line มีแบรนด์สื่อออนไลน์ในเครือ 6 แบรนด์ ได้แก่ ลงทุนแมน, ลงทุนเกิร์ล, MarketThink, BrandCase, MONEY LAB และ Mao-Investor ซึ่งมีทั้งบริการประเภท PR Post, Advertorial, อินโฟกราฟิก โดยลงทุนแมนถือเป็นเจ้าแรกที่ริเริ่มนำเสนอข้อมูลแบบอินโฟกราฟิก, สื่อประเภทวิดีโอ, แบนเนอร์ และ Podcast

2. ธุรกิจแพลตฟอร์มสื่อออนไลน์ (Online Media Platform) ได้แก่ แพลตฟอร์มออนไลน์ Blockdit ที่มีหลายฟีเจอร์การใช้งานและการสร้างรายได้ 3. ธุรกิจให้คำปรึกษาด้านการตลาดออนไลน์ (Digital Marketing Solution) ภายใต้แบรนด์ “LTMH Rocket” ปัจจุบันมีผู้ติดตาม 8.32 ล้านคน ในทุกแพลตฟอร์มออนไลน์ ในส่วนของธุรกิจออฟไลน์ แบ่งออกเป็น ธุรกิจจัดงานอีเวนต์ ในชื่อ LTMH EVENTS และธุรกิจจำหน่ายหนังสือภายใต้แบรนด์ “ลงทุนแมน”

สำหรับปี 2564-2567 บริษัทฯ มีรายได้รวมเท่ากับ 118.06 ล้านบาท 173.90 ล้านบาท 225.77 ล้านบาท และ 231.72 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ร้อยละ 25.20 โดยในปี 2567 บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 50.55% และมีอัตรากำไรสุทธิที่ระดับ 15% ทั้งนี้โครงสร้างรายได้ของ LTMH แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ 92.74% เป็นรายได้จากธุรกิจสื่อและแพลตฟอร์มสื่อออนไลน์ 7.02% เป็นรายได้จากออฟไลน์ และ 0.24% เป็นรายได้อื่นๆ

ล่าสุดธณัฐสามารถพา LTMH ก้าวไปเป็นสมาชิกใหม่ของตลาดหลักทรัพย์ mai ได้เป็นผลสำเร็จ และประเดิมเปิดการซื้อขายหลักทรัพย์ไปเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 เป็นวันแรก ด้วยราคาเปิดตลาดที่ 5.25 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 0.25 บาท หรือ 5% จากราคา IPO ที่ 5.00 บาท ส่งผลให้มูลค่าตลาด (Market Cap) พุ่งขึ้นเป็น 1,050 ล้านบาท โดยมีการเสนอขายหุ้น 50 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลัง IPO

สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุน 250 ล้านบาท บริษัทมีแผนนำไปขยายธุรกิจเทคโนโลยีบริหารความมั่งคั่ง (WealthTech) ภายใต้ “WealthX” ซึ่งจะใช้เงินลงทุนรวม 43 ล้านบาท แบ่งเป็นการพัฒนาซอฟต์แวร์และเนื้อหาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ภายใต้ “บริษัท เวลท์เอ็กซ์ แมเนจเมนท์ จำกัด” และธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่เป็นหน่วยลงทุนและ/หรือ ตราสารแห่งหนี้ ภายใต้ “บริษัทหลักทรัพย์ เวลท์เอ็กซ์ จำกัด” ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2568

“จริงๆ แล้วมีคนถามผมเยอะว่าช่วงนี้ตลาดไม่ค่อยดีจะเข้ามาทำไม ถ้ารอตลาดดีกว่านี้อาจทำราคาหุ้นได้มากกว่านี้ แต่เราต้องการเข้ามาเพราะอยากทำธุรกิจจริงๆ มีแผนการดำเนินงานที่วางแผนมาแล้ว อย่างการขยายธุรกิจ WealthTech เพราะตลาดมันใช่และเวลามันเหมาะสม จึงมั่นใจเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้”

โดยธณัฐให้เหตุผลในการขยายธุรกิจสู่เทคโนโลยีบริหารความมั่งคั่ง หรือ WealthTech ไว้ว่า ตลาดการลงทุนในหน่วยลงทุนและตราสารหนี้มีขนาดใหญ่ ถ้านับเฉพาะบุคคลธรรมดาที่ลงทุนมีเม็ดเงินกว่า 3 ล้านล้านบาท นักลงทุนประมาณ 2 ล้านคน โดยเขาเชื่อว่าในอนาคตจะมากกว่านี้อีก เพราะสังคมไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ คนต้องการความมั่นคงและต้องการส่งต่อให้รุ่นลูกรุ่นหลาน ทั้งนี้ภายในระยะเวลา 5 ปี ตั้งเป้าชิงส่วนแบ่งการตลาดที่ 1-3% หรือ 40,000 ล้านบาท ด้วยจำนวนบัญชี 44,000 บัญชี ซึ่งธณัฐมองว่า WealthTech จะเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำและเป็น New S Curve สร้างการเติบโตให้กับบริษัทได้ในอนาคต

แน่นอนว่านี่คืออีกก้าวสำคัญของ LTMH จากเพจเฟซบุ๊กในชื่อลงทุนแมน สู่การพัฒนาเป็นบริษัทมหาชน แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ภายหลังเข้าระดมทุนแล้ว ในอีก 3-5 ปีต่อจากนี้ ธณัฐมองภาพของ LTMH ไว้อย่างไร

“ภาพใหญ่คือ อยากช่วยยกระดับฐานะทางการเงินให้คนไทยทั้งประเทศ ซึ่งไม่ใช่แค่องค์ความรู้อย่างเดียวที่ทำมาตลอด 8 ปี แต่เรากำลังใส่เครื่องไม้เครื่องมือและติดอาวุธให้กับคนไทยให้เข้าถึงความมั่งคั่งได้ง่ายมากยิ่งขึ้น จะเป็นระบบนิเวศของความมั่งคั่ง มีทั้งสื่อ ทั้งธุรกิจที่ช่วยให้คนมั่งคั่งมากขึ้น เป็นระบบนิเวศที่สมบูรณ์แบบในอีก 3 ปี นี่คือสิ่งที่ผมอยากเห็น” ธณัฐ เตชะเลิศ ทิ้งท้าย.