“ความร่วมมือครั้งนี้เกิดมาจากการมีอุดมการณ์ร่วมกันของทั้งสองธุรกิจที่อยากช่วยเหลือ ‘คนตัวเล็ก’ ที่อาจยังไม่มีโอกาส แต่มีความฝันที่อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง หรือคนที่มีรายได้ไม่เพียงพอและอยากมีอาชีพเสริมมาช่วยเหลือครอบครัว ให้เขาได้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่รวดเร็ว ถูกต้อง และโปร่งใส เคทีซีมองว่าธุรกิจแฟรนไชส์เป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนที่อยากเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง แต่ยังติดปัญหาด้านเงินทุน และการจับมือกับ “ไจแอ้น ลูกชิ้นระเบิด” จะเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้คนที่มีรถสามารถใช้สินทรัพย์ของตัวเองเป็นหลักประกันเพื่อขอสินเชื่อและเริ่มต้นธุรกิจได้ง่ายขึ้น”
เรือนแก้ว เกษมสวัสดิ์ศรี ผู้บริหารสูงสุด สายงานสินเชื่อรถยนต์ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เคทีซี กล่าวไว้ในการประกาศความร่วมมือระหว่าง “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” กับ “ไจแอ้น ลูกชิ้นระเบิด” แฟรนไชส์ลูกชิ้นทอดที่มีสาขามากกว่า 2,500 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจของ “เคทีซี พี่เบิ้ม” สินเชื่อทะเบียนรถจากค่ายเคทีซี ที่ตอนนี้ปรับโฟกัสหันมาเดินหน้ารุกธุรกิจแฟรนไชส์มากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้กับผู้ที่ต้องการลงทุนในแฟรนไชส์ และเพื่อสร้างการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อให้กับเคทีซี พี่เบิ้ม ท่ามกลางสถานการณ์หนี้ครัวเรือนที่ยังน่าเป็นห่วง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ประเมินสถานการณ์สินเชื่อรายย่อยในระบบธนาคารพาณิชย์ว่า สินเชื่อรายย่อยยังคงมีแนวโน้มที่จะหดตัวต่อเนื่องในปี 2568 โดยอาจหดตัวลงประมาณ 1.0% ส่วนปี 2567 หดตัวลงประมาณ 2.0% เนื่องจากกรอบการฟื้นตัวที่จำกัดของรายได้ในภาคครัวเรือน และภาระหนี้สินที่มีอยู่เดิม ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการก่อหนี้ก้อนใหม่ ทั้งนี้ ธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถจะยังคงมีการเติบโตในระดับสูง เมื่อเทียบกับสินเชื่อประเภทอื่น โดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คาดการณ์ว่าจะเติบโตที่ระดับ 10-15% ในปี 2567-2568 แต่เป็นการเติบโตด้วยอัตราที่ชะลอลง เมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตแบบทบต้นต่อปี โดยเฉลี่ยที่ 28.4% ในปี 2562-2566
ขณะที่สถานการณ์หนี้ครัวเรือนของไทยในปี 2568 คาดว่า อัตราการเติบโตของยอดคงค้างหนี้ครัวเรือน อาจชะลอลงต่อเนื่อง และทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ชะลอลงมาอยู่ในกรอบ 85.0-87.5% ในปี 2568 ซึ่งแม้จะต่ำลงแต่ก็ยังคงสูงกว่าระดับยั่งยืนที่ 80.0% ต่อ GDP ตามการศึกษาของธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) ซึ่งล้วนเป็นสภาวะทางเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยจะสดใสมากนัก
ถ้ามาโฟกัสที่ “เคทีซี พี่เบิ้ม” พบว่า เป็นธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถ ที่บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดตัวไปเมื่อไตรมาส 3 ปี 2563 เพื่อมาชิงส่วนแบ่งการตลาดของสินเชื่อทะเบียนรถและสร้างโอกาสทางธุรกิจที่จะเพิ่มแหล่งรายได้ใหม่ๆ ให้กับบริษัทฯ ซึ่งเป็นช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ความเป็นไปทางเศรษฐกิจไม่คล่องตัว
โดยเคทีซีได้ตั้งทีมทำงานในลักษณะเดียวกับสตาร์ทอัปตามแผนกลยุทธ์การเป็นองค์กรคล่องตัว (Agile Organization) เพื่อสร้างทางเลือกใหม่ของสินเชื่อให้ทุกกลุ่มอาชีพได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ถูกต้อง โปร่งใส ผ่านสินเชื่อทะเบียนรถยนต์และสินเชื่อทะเบียนรถจักรยานยนต์ มาพร้อมจุดเด่น “วงเงินใหญ่ อนุมัติไวถึงที่ ได้รับเงินทันที” โดยใช้จุดแข็งเครือข่ายช่องทางการจัดจำหน่ายของเคทีซีในการรุกตลาด ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของเคทีซีที่หันมารุกธุรกิจสินเชื่อแบบมีทะเบียนรถเป็นหลักประกันเป็นครั้งแรก
ในครั้งนั้นกลุ่มเป้าหมายที่เคทีซี พี่เบิ้ม วางไว้คือ คนทุกกลุ่มอาชีพไม่ว่าจะเป็นพนักงานประจำ เจ้าของกิจการ พ่อค้า แม่ค้า หรือผู้ประกอบอาชีพอิสระที่มีรายได้ตั้งแต่ 8,000 บาทขึ้นไป ประสบการณ์ทำงานไม่ต่ำกว่า 4 เดือน สำหรับเจ้าของกิจการ พ่อค้า แม่ค้า ต้องดำเนินธุรกิจไม่ต่ำกว่า 6 เดือน และต้องเป็นเจ้าของรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่มีทะเบียนเล่มเป็นชื่อของผู้ขอสินเชื่อ โดยเคทีซีหมายมั่นปั้นมือให้เคทีซี พี่เบิ้ม เป็น New S Curve ให้กับบริษัทฯ พร้อมตั้งเป้าการเติบโตพอร์ตสินเชื่อเคทีซี พี่เบิ้ม ในขวบปีแรกให้แตะ 1,000 ล้านบาท
ในช่วง 3 เดือนแรกหลังจากเคทีซี พี่เบิ้ม เปิดตัว เรียกได้ว่าผลตอบรับเป็นไปในทิศทางที่ดี กลุ่มลูกค้าให้การตอบรับและสมัครสินเชื่อจนสามารถสร้างพอร์ตสินเชื่อได้ถึงราวๆ 200 ล้านบาท แต่ท่ามกลางสถานการณ์ในขณะนั้นที่ไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้เส้นทางของเคทีซี พี่เบิ้ม ต้องพบกับโจทย์ที่ท้าทายอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสถานการณ์ของโควิด-19 ทำให้ช่องทางในการเข้าถึงลูกค้าทำได้ยากมากขึ้น ส่งผลให้พอร์ตสินเชื่อของเคทีซี พี่เบิ้ม ไม่เป็นไปตามที่คาดในช่วงปีแรก แต่เคทีซียังคงเชื่อมั่นว่าสินเชื่อมีหลักประกันยังคงเป็นธุรกิจที่สามารถไปต่อได้ในระยะยาว ประกอบกับมีการปรับแผนธุรกิจและได้รับการสนับสนุนหลักจาก “ธนาคารกรุงไทย” ที่จะเข้าสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจในอนาคต
ทั้งนี้ในปี 2565 “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” มียอดลูกหนี้ใหม่อยู่ที่ 1,055 ล้านบาท ก่อนที่ในช่วงครึ่งปีหลัง 2566 พี่เบิ้มได้เดินเกมรุกขยายฐานลูกค้าอีกครั้ง ด้วยการจับมือกับอินฟลูเอนเซอร์ พร้อมผลิตคลิปวิดีโอ 10 เวอร์ชั่นรวด สื่อสารรัวๆ ผ่านออนไลน์และโซเชียลมีเดีย เพื่อสร้างการจดจำ “นึกถึงสินเชื่อทะเบียนรถ นึกถึงเคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” ส่งผลให้ในปี 2566 เคทีซี พี่เบิ้ม มียอดลูกหนี้ใหม่รวมกว่า 2,590 ล้านบาท และปี 2567 ยอดเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” อยู่ที่ 3,015 ล้านบาท ส่วนในปี 2568 เคทีซีตั้งเป้าสินเชื่อใหม่ไว้ที่ 3,000 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้ เคทีซี พี่เบิ้ม มีการปรับโฟกัสโดยหันมาจับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์มากขึ้น เพื่อสร้างอาชีพให้กับกลุ่มคนตัวเล็กในธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างธุรกิจแฟรนไชส์
“จริงๆ เคทีซี พี่เบิ้ม เคยเริ่มมองหาลูกค้าที่อยากทำธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่อาจยังไม่ได้เจาะเรื่องแฟรนไชส์เสียทีเดียว แต่พอได้คุยกับลูกค้าเรื่อยๆ สิ่งที่เห็นคือ สภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันค่าครองชีพสูงขึ้นเรื่อยๆ ลูกค้าของเรา 8 ใน 10 ราย มีรายได้มากกว่าหนึ่งทาง และลูกค้าเกือบ 100% กำลังมองหาอาชีพเสริม เพื่อมีรายได้เข้ามาเลี้ยงครอบครัวมากขึ้น ซึ่งแฟรนไชส์เป็นสิ่งที่ลูกค้าพูดถึง เราจึงเริ่มโฟกัสไปที่ธุรกิจแฟรนไชส์ เพราะเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนที่อยากเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง เพราะสามารถเริ่มต้นได้เร็วและใช้เงินลงทุนไม่สูงนัก ยิ่งถ้าเป็นแฟรนไชส์ที่มีการเติบโตเร็วและมีมืออาชีพเข้ามาช่วยลูกค้าด้วยแล้ว ก็จะสามารถทำให้คนตัวเล็กสามารถเริ่มธุรกิจได้ง่าย ปลอดภัย และความเสี่ยงไม่สูง” เรือนแก้วเปิดเผยถึงการรุกธุรกิจแฟรนไชส์ของเคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน
ในสภาพเศรษฐกิจที่ไม่สู้ดีนักในปัจจุบัน ประกอบกับตลาดที่ยังคงมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด ทำให้ธุรกิจแฟรนไชส์กลายมาเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของคนที่อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง เนื่องจากการลงทุนในแฟรนไชส์ไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์ เพราะมีระบบการดำเนินธุรกิจที่ชัดเจนอยู่แล้ว อีกทั้งแบรนด์ยังเป็นที่รู้จัก ไม่ต้องทำการตลาดเอง จึงเปรียบเสมือนเป็นทางลัดในการเปิดธุรกิจ ทำให้สามารถเริ่มต้นธุรกิจได้เร็ว ที่สำคัญความเสี่ยงยังค่อนข้างต่ำกว่าการเปิดธุรกิจเอง ซึ่งการที่เคทีซี พี่เบิ้ม หันมาโฟกัสที่กลุ่มลูกค้าที่ต้องการลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์นั้น นอกจากจะเป็นการสร้างโอกาสให้กับกลุ่มคนที่ต้องการแหล่งเงินทุนแล้ว อีกทางหนึ่งยังเป็นการเพิ่มพอร์ตสินเชื่อให้กับเคทีซี พี่เบิ้ม แบบ Win-Win และความเสี่ยงต่ำอีกด้วย
โดยในครั้งนี้ เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน เลือกจับมือกับ “ไจแอ้น ลูกชิ้นระเบิด” แฟรนไชส์ลูกชิ้นทอดเจ้าใหญ่ ที่รั้งตำแหน่งแฟรนไชส์อันดับ 4 ของประเทศ มีจำนวนสาขามากกว่า 2,500 สาขาทั่วประเทศ มีอัตราการคืนทุนเร็วในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน ด้วยอัตรากำไรที่สูงถึง 60-65% และไม่มีการเก็บค่ารายปีหรือรายเดือน
ซึ่งรูปแบบการร่วมมือกันในครั้งนี้ เป็นการช่วยเหลือผู้ที่ต้องการซื้อแฟรนไชส์ของไจแอ้น ลูกชิ้นระเบิด แต่ไม่รู้แหล่งเงินทุนหรือไม่มีแหล่งเงินทุน อย่างลูกค้าตามต่างจังหวัด อยากเข้ามาซื้อแฟรนไชส์แต่ไม่รู้ว่าจะไปหาแหล่งเงินทุนที่ไหน ก็สามารถนำหลักประกัน ไม่ว่าจะเป็น ทะเบียนจักรยานยนต์หรือรถยนต์ มาขอสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” ได้ ด้วยวงเงินใหญ่สูงสุด 1 ล้านบาท ไม่ต้องมีคนค้ำประกัน อนุมัติไวภายใน 1 ชั่วโมง และรับเงินทันที เพื่อช่วยให้การเริ่มต้นธุรกิจเป็นไปได้อย่างราบรื่นและรวดเร็ว โดยลูกค้ายังสามารถนำรถไปใช้งานได้ต่อ
ทางฝั่งของ สารัช วัฒนกูล ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท อร่อยระเบิด จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์ ไจแอ้น ลูกชิ้นระเบิด กล่าวว่า “การจับมือกับเคทีซี พี่เบิ้ม ถือเป็นโอกาสที่ดี เพราะที่ผ่านมามีลูกค้าจำนวนมากทักเราเข้ามาว่าสนใจแฟรนไชส์ของไจแอ้น อยากมีอาชีพ แต่ไม่มีทุนที่จะมาซื้อแฟรนไชส์ แต่เขามีรถ มีมอเตอร์ไซค์ พอจับมือกับเคทีซี พี่เบิ้มก็ง่ายขึ้น เราสามารถส่งเรื่องต่อให้กับเคทีซี พี่เบิ้มได้เลย และทำให้ลูกค้าสามารถนำเงินมาลงทุนกับชุดแฟรนไชส์ สร้างเป็นอาชีพและรายได้ให้เขาไปต่อได้ในทุกวัน ยิ่งสภาวะเศรษฐกิจอย่างทุกวันนี้ จะหาเงินก้อนก็ยากขึ้น ถ้ามีหลักทรัพย์อย่างทะเบียนรถมาค้ำประกันได้ และมาเปิดแฟรนไชส์หาเงินรายได้เลี้ยงชีพได้ก็เป็นสิ่งที่ดี”
โดยสารัชตั้งเป้าเพิ่มจำนวนสาขาของไจแอ้น ลูกชิ้นระเบิด จากความร่วมมือครั้งนี้ไว้ที่ 100 สาขา
ทั้งนี้ธุรกิจแฟรนไชส์ในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ในปี 2567 มีธุรกิจแฟรนไชส์จดทะเบียนกับกรมฯ จำนวน 531 แบรนด์ และมีสาขารวม 59,077 สาขา อย่างไรก็ตาม เมื่อรวมถึงธุรกิจแฟรนไชส์ที่ไม่ได้จดทะเบียนกับกรมฯ คาดว่ามีจำนวนแบรนด์มากกว่า 660 แบรนด์ และมีสาขารวมกว่า 95,000 สาขา รวมมูลค่าการตลาดมากกว่า 300,000 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 18% ต่อปี.