วันศุกร์, มีนาคม 21, 2025
6:26:06 PM
Home > Cover Story > อุตสาหกรรมไมซ์ แรงขับเคลื่อนของเศรษฐกิจไทย

อุตสาหกรรมไมซ์ แรงขับเคลื่อนของเศรษฐกิจไทย

นอกจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแล้ว อุตสาหกรรมไมซ์ (MICE: Meeting, Incentives, Conventions, and Exhibitions) เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้เป็นอย่างดี

สำหรับในปี 2567 อุตสาหกรรมไมซ์ สร้างรายได้เข้าประเทศได้มากถึง 148,341 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.27% จากปี 2566 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนโยบายการสนับสนุนอุตสาหกรรมไมซ์ เช่น มาตรการยกเว้นวีซ่าแก่กลุ่มนักท่องเที่ยว มาตรการเกี่ยวกับวีซ่าหน้าด่าน ที่ให้สิทธินักท่องเที่ยวจากหลายประเทศมากขึ้น

อย่างไรก็ดี แม้ว่าตัวเลขรายได้จากปีที่ผ่านมาจะสูงกว่าแสนล้าน แต่นั่นยังไม่สามารถกลับไปเทียบเท่ารายได้ในช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19

ทว่า ปี 2568 อุตสาหกรรมไมซ์ ถูกตั้งความหวังว่าน่าจะสามารถสร้างรายได้ 2 แสนล้านบาท และจำนวนนักเดินทางสำหรับอุตสาหกรรมนี้ทั้งในและต่างประเทศ 34 ล้านคน จากทีเส็บ หรือ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หน่วยงานรัฐที่ที่มีบทบาทในการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ในทุกมิติ

โดยยุทธศาสตร์ที่น่าจะทำให้ไทยเข้าใกล้เป้าหมายได้นั้น ทีเส็บวางไว้ 5 ข้อ ได้แก่

  1. สนับสนุนงานไมซ์ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายและดึงงานไมซ์ระดับโลก มุ่งเน้นตลาดศักยภาพใหม่ เช่น ตะวันออกกลาง และกลุ่ม BRICS รวมทั้งส่งเสริม Flagship Industry เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการจัดงานไมซ์ระดับนานาชาติ
  2. พัฒนาสถานที่จัดงานด้วยความหลากหลายของอัตลักษณ์เชิงพื้นที่ และจัดกิจกรรมการตลาดเสริมสร้างประสบการณ์แบบ Authentic Experience เพื่อเพิ่มโอกาสและกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมไมซ์ครอบคลุมในทุกพื้นที่
  3. พัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ด้วยนวัตกรรม และยกระดับขีดความสามารถด้วย Thailand MICE One Stop Service ผ่านมาใช้ Data Driven Experience ลดขั้นตอนกฎระเบียบ และขยาย MICE Lane Service ไปยังพื้นที่ใหม่ๆ เช่น สนามบินภูเก็ต เชียงใหม่ และอุดรธานี
  4. พัฒนาระบบและกระบวนการทำงานด้วย Digital Transformation โดยใช้ Big Data และ Streamline Office Operations เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการให้คล่องตัว ทันสมัย และตอบโจทย์การทำงานในยุคดิจิทั
  5. ยกระดับองค์ความรู้และแนวปฏิบัติการจัดงานอย่างยั่งยืน โดยขับเคลื่อนตามแนวทาง ESG (Environmental, Social, and Governance) รวมทั้งออกแบบสถานที่จัดงานให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ ผู้อำนวยการทีเส็บ จิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ยังเคยให้ข้อมูลเมื่อครั้งแถลงข่าวประกาศยุทธศาสตร์และเป้าหมาย ว่า ทีเส็บกำหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์สำหรับใช้ในปี 2568 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการใช้อุตสาหกรรมไวซ์เสริมสร้างศักยภาพเศรษฐกิจ และเพื่อพิชิตอันดับจุดหมายปลายทางไมซ์แห่งเอเชีย คือ กระตุ้น และขยายเวลาการพำนักของนักเดินทางไมซ์ในประเทศไทยให้นานขึ้น กระตุ้นการใช้จ่ายของนักเดินทางไมซ์ให้มากขึ้น และกระตุ้นให้นักเดินทางไมซ์ กลับมาไทยอีกครั้ง โดยจะมีการดำเนินการหลากหลายด้านให้แต่ละกลยุทธ์บรรลุวัตถุประสงค์ อาทิ พัฒนา Pre & Post Tour การสร้าง Market Place ภายในงาน และยังมองไปถึง การเจาะตลาดเกิดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น ตลาดกลุ่ม BRICS ที่ประเทศไทยเพิ่งเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วน

ซึ่งกลุ่ม BRICS เป็นกลุ่มที่มีการจัดงานร่วม 200 งานในแต่ละปี ทำให้เชื่อว่าอุตสาหกรรมไมซ์จะเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจที่สำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันให้ประเทศไทย ในการบรรลุเป้าหมายว่าสิ้นปีงบประมาณ 2568 ประเทศไทยจะมีนักเดินทางไมซ์ รวมทั้งสิ้น 34 ล้านคน ทำรายได้ 2 แสนล้านบาท

เป้าหมายของทีเส็บสอดคล้องกับภาคเอกชนที่เป็นเจ้าของพื้นที่จัดงานอีเวนต์อย่างอิมแพ็ค เมืองทองธานี ที่เพิ่งประกาศแผนธุรกิจที่เน้นหนักด้านการลงทุน ทั้งโครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีชมพู ที่ช่วยลดความแออัดบนเส้นทางเจรจาที่มักจะเป็นปัญหาเมื่อมีการจัดงานขนาดใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะพร้อมให้บริการภายในปี 2568

อีกทั้งยังลงทุนก่อสร้างโรงแรมแห่งใหม่เพื่อเพิ่มจำนวนห้องพัก หวังให้สามารถรองรับจำนวนนักเดินทางหรือนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น

ที่ผ่านมาไทยได้รับการจัดอันดับเป็น 1 ใน Top of Mind ในหลายด้าน เช่น ด้าน Country suitable for hosting an event, Authentic Local Experience และ Sustainable Event Management และยังโดดเด่น มีศักยภาพในการจัดงานไมซ์ ของกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ ด้าน Food Security, Health-tech Innovation และ Creative Soft Power

ปัจจุบันไทยมีพื้นที่การจัดงานแสดงสินค้านานาชาติเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน และขยับขึ้นเป็นอันดับ 4 ของเอเชีย จากรายงานของสมาคมการแสดงสินค้าโลก แต่เป้าหมายของไทยคือการเป็นจุดหมายปลายทางไมซ์ที่ถูกนึกถึงเป็นอันดับแรกในภูมิภาคเอเชีย

คงต้องรอดูกันว่าเป้าหมายที่ทีเส็บตั้งไว้สำหรับอุตสาหกรรมไมซ์ ไทยจะทำได้หรือไม่ เพราะนั่นจะทำให้ไทยเข้าใกล้เป้าหมายทั้งด้านรายได้ และความเป็นเบอร์ต้นๆ ของภูมิภาคเอเชียในอุตสาหกรรมนี้.