นอกจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแล้ว อุตสาหกรรมไมซ์ (MICE: Meeting, Incentives, Conventions, and Exhibitions) เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้เป็นอย่างดี
สำหรับในปี 2567 อุตสาหกรรมไมซ์ สร้างรายได้เข้าประเทศได้มากถึง 148,341 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.27% จากปี 2566 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนโยบายการสนับสนุนอุตสาหกรรมไมซ์ เช่น มาตรการยกเว้นวีซ่าแก่กลุ่มนักท่องเที่ยว มาตรการเกี่ยวกับวีซ่าหน้าด่าน ที่ให้สิทธินักท่องเที่ยวจากหลายประเทศมากขึ้น
อย่างไรก็ดี แม้ว่าตัวเลขรายได้จากปีที่ผ่านมาจะสูงกว่าแสนล้าน แต่นั่นยังไม่สามารถกลับไปเทียบเท่ารายได้ในช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19
ทว่า ปี 2568 อุตสาหกรรมไมซ์ ถูกตั้งความหวังว่าน่าจะสามารถสร้างรายได้ 2 แสนล้านบาท และจำนวนนักเดินทางสำหรับอุตสาหกรรมนี้ทั้งในและต่างประเทศ 34 ล้านคน จากทีเส็บ หรือ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หน่วยงานรัฐที่ที่มีบทบาทในการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ในทุกมิติ
โดยยุทธศาสตร์ที่น่าจะทำให้ไทยเข้าใกล้เป้าหมายได้นั้น ทีเส็บวางไว้ 5 ข้อ ได้แก่
- สนับสนุนงานไมซ์ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายและดึงงานไมซ์ระดับโลก มุ่งเน้นตลาดศักยภาพใหม่ เช่น ตะวันออกกลาง และกลุ่ม BRICS รวมทั้งส่งเสริม Flagship Industry เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการจัดงานไมซ์ระดับนานาชาติ
- พัฒนาสถานที่จัดงานด้วยความหลากหลายของอัตลักษณ์เชิงพื้นที่ และจัดกิจกรรมการตลาดเสริมสร้างประสบการณ์แบบ Authentic Experience เพื่อเพิ่มโอกาสและกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมไมซ์ครอบคลุมในทุกพื้นที่
- พัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ด้วยนวัตกรรม และยกระดับขีดความสามารถด้วย Thailand MICE One Stop Service ผ่านมาใช้ Data Driven Experience ลดขั้นตอนกฎระเบียบ และขยาย MICE Lane Service ไปยังพื้นที่ใหม่ๆ เช่น สนามบินภูเก็ต เชียงใหม่ และอุดรธานี
- พัฒนาระบบและกระบวนการทำงานด้วย Digital Transformation โดยใช้ Big Data และ Streamline Office Operations เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการให้คล่องตัว ทันสมัย และตอบโจทย์การทำงานในยุคดิจิทั
- ยกระดับองค์ความรู้และแนวปฏิบัติการจัดงานอย่างยั่งยืน โดยขับเคลื่อนตามแนวทาง ESG (Environmental, Social, and Governance) รวมทั้งออกแบบสถานที่จัดงานให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ผู้อำนวยการทีเส็บ จิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ยังเคยให้ข้อมูลเมื่อครั้งแถลงข่าวประกาศยุทธศาสตร์และเป้าหมาย ว่า ทีเส็บกำหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์สำหรับใช้ในปี 2568 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการใช้อุตสาหกรรมไวซ์เสริมสร้างศักยภาพเศรษฐกิจ และเพื่อพิชิตอันดับจุดหมายปลายทางไมซ์แห่งเอเชีย คือ กระตุ้น และขยายเวลาการพำนักของนักเดินทางไมซ์ในประเทศไทยให้นานขึ้น กระตุ้นการใช้จ่ายของนักเดินทางไมซ์ให้มากขึ้น และกระตุ้นให้นักเดินทางไมซ์ กลับมาไทยอีกครั้ง โดยจะมีการดำเนินการหลากหลายด้านให้แต่ละกลยุทธ์บรรลุวัตถุประสงค์ อาทิ พัฒนา Pre & Post Tour การสร้าง Market Place ภายในงาน และยังมองไปถึง การเจาะตลาดเกิดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น ตลาดกลุ่ม BRICS ที่ประเทศไทยเพิ่งเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วน
ซึ่งกลุ่ม BRICS เป็นกลุ่มที่มีการจัดงานร่วม 200 งานในแต่ละปี ทำให้เชื่อว่าอุตสาหกรรมไมซ์จะเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจที่สำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันให้ประเทศไทย ในการบรรลุเป้าหมายว่าสิ้นปีงบประมาณ 2568 ประเทศไทยจะมีนักเดินทางไมซ์ รวมทั้งสิ้น 34 ล้านคน ทำรายได้ 2 แสนล้านบาท
เป้าหมายของทีเส็บสอดคล้องกับภาคเอกชนที่เป็นเจ้าของพื้นที่จัดงานอีเวนต์อย่างอิมแพ็ค เมืองทองธานี ที่เพิ่งประกาศแผนธุรกิจที่เน้นหนักด้านการลงทุน ทั้งโครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีชมพู ที่ช่วยลดความแออัดบนเส้นทางเจรจาที่มักจะเป็นปัญหาเมื่อมีการจัดงานขนาดใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะพร้อมให้บริการภายในปี 2568
อีกทั้งยังลงทุนก่อสร้างโรงแรมแห่งใหม่เพื่อเพิ่มจำนวนห้องพัก หวังให้สามารถรองรับจำนวนนักเดินทางหรือนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น
ที่ผ่านมาไทยได้รับการจัดอันดับเป็น 1 ใน Top of Mind ในหลายด้าน เช่น ด้าน Country suitable for hosting an event, Authentic Local Experience และ Sustainable Event Management และยังโดดเด่น มีศักยภาพในการจัดงานไมซ์ ของกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ ด้าน Food Security, Health-tech Innovation และ Creative Soft Power
ปัจจุบันไทยมีพื้นที่การจัดงานแสดงสินค้านานาชาติเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน และขยับขึ้นเป็นอันดับ 4 ของเอเชีย จากรายงานของสมาคมการแสดงสินค้าโลก แต่เป้าหมายของไทยคือการเป็นจุดหมายปลายทางไมซ์ที่ถูกนึกถึงเป็นอันดับแรกในภูมิภาคเอเชีย
คงต้องรอดูกันว่าเป้าหมายที่ทีเส็บตั้งไว้สำหรับอุตสาหกรรมไมซ์ ไทยจะทำได้หรือไม่ เพราะนั่นจะทำให้ไทยเข้าใกล้เป้าหมายทั้งด้านรายได้ และความเป็นเบอร์ต้นๆ ของภูมิภาคเอเชียในอุตสาหกรรมนี้.