ไม่ใช่แค่ประเทศไทยเท่านั้นที่ต้องเผชิญกับภาวะการเกิดต่ำ แต่อีกหลายประเทศกำลังประสบกับปัญหานี้ สาเหตุมาจากหลายปัจจัย ทั้งสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเด็กในยุคปัจจุบันมีราคาสูง ความเครียดในวัยเจริญพันธุ์ ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปทำให้หลายคู่เลือกที่จะไม่มีทายาท
หลายประเทศกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาอัตราการเกิดต่ำ และออกนโยบายหรือมาตรการเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนอยากมีลูกมากขึ้น เช่น สิงคโปร์ ที่เตรียมจัดสรรงบประมาณราว 7 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เพื่อโครงการส่งเสริมการแต่งงานและการมีบุตร ในปีงบประมาณ 2569 (เมษายน 2569- มีนาคม 2570)
ซึ่งก่อนหน้านี้สิงคโปร์ออกนโยบาย Baby Bonus Scheme กระตุ้นการมีบุตรโดยรัฐบาลให้เงินสนับสนุนพ่อแม่คนละ 8,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ เมื่อมีลูกคนแรก และคนที่ 2 และ 10,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ เมื่อมีลูกคนที่ 3 เป็นต้นไป
แม้ว่าไทยยังต้องเผชิญกับภาวะการเกิดต่ำ แต่โคโลญเมสเซ่ (ประเทศไทย) ผู้จัดงานแสดงสินค้าแม่และเด็ก ยังคงเดินหน้าจัดงาน Kind+Jugend ASEAN 2025 พร้อมบอกว่าตลาดขยายตัวเนื่องจากพ่อแม่ทุ่มเงินสำหรับเด็กมากขึ้น
“ปีที่ผ่านมางาน Kind+Jugend ASEAN มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยดูจากจำนวนผู้ประกอบการที่เข้าร่วมเพิ่มขึ้น 40% มีแบรนด์สินค้าเข้าร่วมมากกว่า 300 แบรนด์จากกว่า 20 ประเทศ อีกทั้งความต้องการสินค้าแม่และเด็กที่มีคุณภาพยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไทยจึงเหมาะที่จะเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงธุรกิจ” แมธเธียส คูเปอร์ กรรมการผู้จัดการ และรองประธานโคโลญเมสเซ่ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าว
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำหรับผู้จัดงานแสดงสินค้าในกลุ่มแม่และเด็ก น่าจะเป็นสถานการณ์ของอัตราการเกิดที่ลดลงทั่วโลก และโดยเฉพาะประเทศไทย ภูษิต ศศิธรานนท์ ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหาร โคโลญเมสเซ่ ประเทศไทย มองว่าที่เป็นโอกาสสำคัญที่จะผลักดันให้ผู้ประกอบการปรับตัว
“สถานการณ์ปัจจุบัน เป็นความท้าทายอย่างมาก แต่ก็มาพร้อมโอกาสที่จะทำให้ผู้ประกอบการสินค้ากลุ่มนี้ได้คิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ทำให้สามารถเพิ่มมูลค่าในตัวสินค้าได้ สมัยก่อนที่อัตราการเกิดยังเป็นปกติ บางครอบครัวมีสมาชิกจำนวนหลายคน มีลูกเยอะ การจับจ่ายอาจจะน้อย เวลาซื้อของเล่น ของใช้สำหรับเด็ก ต้องแบ่งกัน หรือส่งต่อจากพี่สู่น้อง
นี่เป็นโอกาสที่จะผลักดันให้ผู้ประกอบการสินค้าแม่และเด็กต้องปรับตัว จากที่เคยเน้นปริมาณ ไปสู่การพัฒนาด้านคุณภาพ สินค้าอาจไม่ได้ตอบสนองความต้องการของตลาดกลุ่มแมส แต่ผู้ประกอบการจะเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพมากขึ้น ผสมผสานกับเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ๆ ออกแบบมาเป็นสินค้าที่สามารถตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์ของพ่อแม่ในยุคใหม่”
ข้อมูลจาก TechSci Research ระบุว่า ตลาดสินค้าแม่และเด็กในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีมูลค่าสูงถึง 30.41 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 และคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 8.87% จนถึงปี 2029
ข้อมูลจาก Statista Research เปิดเผยว่า คาดการณ์มูลค่าตลาดนี้ในไทยว่าน่าจะอยู่ที่ 39 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 6.00% ระหว่างปี 2025-2030
“แม้ว่าปัจจุบันครอบครัวยุคใหม่จะมีขนาดเล็กลง มีลูกเพียง 1-2 คน แต่พ่อแม่กลับพร้อมที่จะใช้จ่ายเงินเพื่อลูกมากขึ้น แน่นอนว่ามีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ ที่ทำให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น แม้ว่าสถานการณ์การเกิดจะลดลง แต่ไม่ได้หมายว่าการใช้จ่ายในสินค้าหมวดนี้จะลดลงไปด้วย เพราะฉะนั้นการจัดงาน Kind+Jugend ASEAN 2025 เราจึงไม่กังวลว่าอัตราการเกิดต่ำจะสร้างผลกระทบ ซึ่งเมื่อพิจารณาจากจำนวนโรงเรียนนานาชาติในไทยที่เพิ่มขึ้น พ่อแม่พร้อมลงทุนในตัวบุตรหลานมากขึ้น” ภูษิต เสริม
นอกจากสถานการณ์ของอัตราการเกิดที่ลดลง จะเป็นเรื่องท้าทายที่ผู้จัดงานแสดงสินค้าแม่และเด็กต้องเผชิญแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งที่สร้างความท้าทายไม่แพ้กันคือ ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน เนื่องจากบริษัท โคโลญเมสเซ่ เป็นบริษัทสัญชาติเยอรมัน ทำให้ต้องดำเนินธุรกิจตามนโยบายของรัฐบาลในเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
“สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ส่งผลกระทบต่อการจัดงานของโคโลญเมสเซ่ เดิมทีงานที่เราจัดมีแบ่งโซนของผู้ประกอบการ หรือ Exhibitor จากประเทศต่างๆ เช่น จีน ญี่ปุ่น อเมริกา และรัสเซีย แต่เราจำเป็นต้องยกเลิกรัสเซีย พาวิลเลียน ซึ่งบริษัทแม่ที่เยอรมันต้องดำเนินธุรกิจตามมาตรการของภาครัฐ แม้ว่าผู้ประกอบการจากรัสเซีย จะมีความต้องการมาร่วมแสดงสินค้า แต่ไม่สามารถผ่อนปรนได้ ส่งผลให้มูลค่าการค้าหายไปบ้าง”
นอกจากนี้ สงครามอาจส่งผลต่อต้นทุนของราคาสินค้า เนื่องจากผลกระทบด้านราคาน้ำมันที่มีการปรับตัวสูงขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว ปัจจัยนี้จะส่งผลต่อการใช้จ่ายของ Exhibitor
“แต่ในท้ายที่สุด แม้ว่าจะมีสงคราม แต่โอกาสทางธุรกิจการค้าขายยังคงดำเนินต่อไป ขึ้นอยู่กับว่าเราเตรียมพร้อมและรับมือกับช่วงเวลานั้นได้แค่ไหน” ภูษิตขยายความ
สงครามในสนามรบสร้างผลกระทบต่อธุรกิจอยู่บ้าง แต่ขึ้นอยู่กับความพร้อมในการรับมือ ทว่าอีกหนึ่งสงครามที่เริ่มระอุนับตั้งแต่สหรัฐอเมริกาได้ประธานาธิบดีคนใหม่ แต่ยังดำเนินนโยบายเก่า นั่นคือ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เริ่มนโยบายอเมริกันเฟิร์ส เพื่อปกป้องชาวอเมริกัน และโดยเฉพาะธุรกิจสัญชาติอเมริกันที่จะทำให้มีแต้มต่อมากกว่าเดิม ทว่า นโยบายนั้นกลับส่งผลต่ออุตสาหกรรมที่ต้องเกี่ยวข้องกับการนำเข้า และส่งออก นั่นคือ การขึ้นภาษีสินค้านำเข้า ซึ่งจีน เม็กซิโก ได้รับผลกระทบอย่างมาก โดยภูษิตมีมุมมองและแนวคิดการรับมือกับสงครามการค้านี้ว่า
“ส่วนสงครามการค้าที่กำลังกลับมาเริ่มต้นอีกครั้งในช่วงนี้ มีทั้งดีและไม่ดี แม้ว่าสหรัฐอเมริกากับจีนจะฟาดฟันกันด้วยกำแพงภาษี แต่ต้องไม่ลืมว่าสินค้าหลายประเภทของอเมริกาก็ผลิตในจีน ทั้งสองประเทศเป็นศัตรูทางการค้ากันก็จริง แต่ก็ยังเป็นคู่แข่งกันด้วย และบางครั้งก็มีการร่วมมือกันด้วย เราต้องมองให้ออกว่า เขากีดกันเพื่อเป็นการต่อรองหรือไม่ ต้องยอมรับว่า โดนัลด์ ทรัมป์ มีอำนาจกีดกันสูงมาก แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการเจรจาทางการค้า” ภูษิตอธิบาย ก่อนจะแนะว่า ยังมีประเทศอื่นที่เป็นคู่ค้าสำคัญที่ผู้ประกอบการ หรือนักธุรกิจไทยลืมไม่ได้
“ไทยต้องบาลานซ์ให้ได้ระหว่างสองประเทศนี้ เพราะเรายังต้องค้าขายกับทั้งคู่ ในขณะที่จีนเราก็มองข้ามไม่ได้เช่นกัน ต้องยอมรับว่าจีนมีอำนาจทางการค้าเหนือเรามาตลอด แต่ประเทศอื่นๆ ก็เป็นคู่ค้าที่สำคัญ เช่น EU หรือตลาดใหม่อย่าง แอฟริกา ประเทศในแถมเอเชียใต้ เรายังต้องให้ความสนใจ”
ไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียน และยังเป็นฮับสำคัญในการจัดงานแสดงสินค้าต่างๆ ด้วยความพร้อมของระบบโครงสร้างพื้นฐาน เส้นทางคมนาคม โรงแรมที่พักสำหรับนักเดินทางที่มีเพียงพอต่อความต้องการ ตัวแทนจากหอการค้าไทยอย่าง ดร.กฤษณะ วจีไกรลาส กรรมการเลขาธิการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เสริมว่า “ไทยเป็นศูนย์กลางการค้า และการลงทุนระดับภูมิภาค ด้วยทำเลยุทธศาสตร์ที่เชื่อมโยงจีน อินเดีย และอาเซียน ประกอบกับโครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น ท่าเรือ สนามบิน และระบบโลจิสติกส์ ที่เอื้อต่อการขนส่งและกระจายสินค้าอุตสาหกรรมหลักของไทย เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ อาหาร เกษตร และสินค้าแม่และเด็ก อีกทั้งยังได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐผ่าน BOI รวมถึงโครงการพัฒนาเศรษฐกิจ EEC การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ยังช่วยเร่งการเติบโตของธุรกิจค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซ ทำให้ไทยกลายเป็นตลาดที่น่าลงทุนสำหรับแบรนด์ระดับโลก”.