ภายในปี 2568 ตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท จะพลิกโฉมอีกครั้ง หากที่ประชุมวุฒิสภายอมไฟเขียวร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ภาษีสรรพสามิต “สุราชุมชน” ตามที่สภาผู้แทนราษฎรโหวตผ่านความเห็นชอบไปเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568 หวังปลดล็อกเปิดทางผู้ผลิตรายย่อยและชุมชนกระโดดเข้าสู่ตลาดได้มากขึ้น
สำหรับรายละเอียดของร่างกฎหมายฉบับนี้ นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ พิจารณาแก้ไข ระบุหลักการสำคัญเป็นการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการรายย่อยเข้าถึงใบอนุญาตทำธุรกิจ ซึ่งมีผู้เสนอร่างกฎหมาย คือ พรรคเพื่อไทย เรียกว่า “สุราชุมชน” และพรรครวมไทยสร้างชาติ เรียกว่า “สุรารวมไทย”
สาระสำคัญ คือ การปลดล็อกการผลิตจากเดิมที่การขออนุญาตผลิตสุรากลั่นชุมชน เช่น เหล้าขาว เหล้าสี ยาดอง มีเงื่อนไขเข้มงวดและถูกจำกัดด้วยกำลังการผลิต โดยจะผ่อนคลายข้อกำหนด เปิดโอกาสให้บุคคลธรรมดา วิสาหกิจชุมชน หรือกลุ่มเกษตรกร สามารถขออนุญาตผลิตได้ง่ายขึ้น ไม่จำกัดกำลังการผลิตขั้นต่ำ รวมถึงการผลิตสุราแช่อื่นๆ เช่น จิน รัม บรั่นดี วิสกี้ จากเดิมการขออนุญาตมีเงื่อนไขและข้อกำหนดที่สูงมากเช่นกัน
ขณะเดียวกัน เปิดกว้างการผลิตเบียร์ (Brewpub) ซึ่งกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ กำหนดให้ผู้ผลิตเบียร์ต้องมีกำลังการผลิตขั้นต่ำสูงมาก เช่น ต้องผลิตขั้นต่ำ 100,000 ลิตรต่อปี สำหรับเบียร์บรรจุขวด และขั้นต่ำ 1,000,000 ลิตรต่อปีสำหรับเบียร์สด ต้องมีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ทำให้มีเฉพาะผู้ผลิตรายใหญ่เท่านั้น โดยจะยกเลิกข้อกำหนดกำลังการผลิตขั้นต่ำ และเปิดโอกาสให้ร้านอาหารสามารถผลิตเบียร์สดเพื่อจำหน่ายในร้านของตัวเองได้ (Brewpub)
แน่นอนว่า หลายฝ่ายมองประโยชน์และผลดีในแง่การส่งเสริมผู้ประกอบการรายย่อยและเกษตรกร ลดการผูกขาดโดยผู้ผลิตรายใหญ่ไม่กี่เจ้า เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ส่วนผู้บริโภคจะมีตัวเลือกหลากหลายมากขึ้น ได้ลิ้มลองสุราท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเกษตรกรสามารถนำผลผลิตทางการเกษตรมาแปรรูปเป็นสุรา เพิ่มมูลค่าสินค้า และสร้างรายได้ที่มั่นคง นอกจากนั้น ยังมีผลทางอ้อม การเพิ่มจุดขายให้ท้องถิ่นต่างๆ กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว สร้างอุตสาหกรรมสุราท้องถิ่น ลดการลักลอบผลิตและบริโภคสุราเถื่อนแบบไร้มาตรฐาน ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ชีวานนท์ ปิยะพิทักษ์สกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาดอาวุโส บริษัทวิจัยข้อมูลเชิงลึกทางการตลาดและการวิเคราะห์ Kantar Worldpanel ประเทศไทยและมาเลเซีย ให้ความเห็นกับ “ผู้จัดการ360 องศา” ว่า การผ่านร่างกฎหมายสุราชุมชนจะเพิ่มความหลากหลายในตลาดและช่วยกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันที่สร้างสรรค์มากขึ้น โดยเฉพาะการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น สุราและเบียร์ที่มีวัตถุดิบหรือกรรมวิธีการผลิตแบบท้องถิ่น
อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของตลาดขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้บริโภคและความสามารถของผู้ประกอบการรายย่อยในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ตลาดอาจขยายตัวในด้านความหลากหลายของฐานลูกค้า เนื่องจากผลิตภัณฑ์จากผู้ประกอบการรายย่อยอาจตอบสนองความต้องการเฉพาะกลุ่ม เช่น ผู้ที่มองหาสินค้าพรีเมียม สุราท้องถิ่น หรือเบียร์คราฟต์
ด้านผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น แบรนด์ระดับประเทศหรือระดับนานาชาติ อาจได้รับผลกระทบในระยะยาว เนื่องจากผู้ประกอบการรายย่อยสามารถดึงส่วนแบ่งตลาดบางส่วนได้ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ต้องการสนับสนุนสินค้าท้องถิ่น แต่ผู้ผลิตรายใหญ่ยังคงได้เปรียบด้านความสามารถในการกระจายสินค้าและการทำการตลาดที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับกลยุทธ์ใหม่ๆ มากขึ้น เช่น การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือสร้างแบรนด์ย่อยเพื่อแข่งขันในตลาด
สำหรับราคาสินค้าอาจมีแนวโน้มลดลงในระยะยาว หากการแข่งขันในตลาดเพิ่มขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ปัจจัยอื่นๆ เช่น ต้นทุนการผลิต กฎระเบียบด้านภาษี และต้นทุนการกระจายสินค้า อาจทำให้ราคาของผลิตภัณฑ์จากผู้ประกอบการรายย่อยไม่ได้ต่ำกว่าผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตรายใหญ่เสมอไป
ส่วนตลาดเบียร์คราฟต์หรือสุราพรีเมียมที่มุ่งเน้นความแตกต่าง อาจยังคงตั้งราคาในระดับที่สูงกว่าได้ เพื่อสะท้อนคุณภาพและเอกลักษณ์ความเป็นพรีเมียม
เมื่อถามถึงจุดเปลี่ยนของเทรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชีวานนท์มองว่า เบียร์คราฟต์และสุราท้องถิ่นอาจได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ทั้งผลจากกฎหมายสุราชุมชนและผู้บริโภคคนไทยต้องการสนับสนุนสินค้าในประเทศ แต่หากดูข้อมูลวิจัยจากรายงาน Thailand Alcoholic Beverage Market โดย Kantar Worldpanel ระบุว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์พร้อมดื่ม (RTD) เป็นหมวดหมู่ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคผู้หญิงที่มีสัดส่วนการซื้อกว่า 70% และกลุ่มคนรุ่นใหม่ช่วงอายุ 20 ปี
จะว่าไปแล้ว เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในท้องถิ่นเป็นภูมิปัญญาไทยที่มีมาอย่างยาวนาน ซึ่งข้อเขียนเรื่อง “ตํานานแห่งการเสพสุรา” บทคัดย่องานศึกษาค้นคว้าเรื่องประวัติศาสตร์การบริโภคสุราในประเทศไทยของคณะกรรมการระบาดวิทยา เล่าว่า สุราชนิดแรกที่คนไทยรู้จัก คือ สุราแช่ได้จากการหมักข้าวตามกระบวนการธรรมชาติ เป็นวิวัฒนาการของสุราทั่วโลก ส่วนสุรากลั่นเกิดขึ้นหลังจากนั้นอีกหลายพันปี โดยเชื่อว่า คนจีนรู้จักกลั่นสุรามาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7 แต่ไม่แพร่หลาย ส่วนยุโรป รู้จักกลั่นเหล้าไวน์เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 12 แต่ผลิตเป็นอุตสาหกรรมเมื่อศตวรรษที่ 17 หรือ 18
สุราแช่ที่คนไทยคุ้นเคยมาแต่อดีต ได้แก่ น้ำตาลเมาหรือกะแช่ ทำจากน้ำตาลสดจากมะพร้าวหรือตาลโตนด “อุ” จากข้าวเหนียวกล้อง สาโทและน้ำขาวทําจากข้าวเช่นกัน
ในสมัยพระนารายณ์มหาราช คนไทยรู้จักสุรากลั่น หรือ “เหล้าโรง” จนภายหลังเมื่อคบค้ากับชาติตะวันตกมากขึ้น สุราแช่ สุรากลั่นพวกไวน์หรือเหล้าองุ่น เบียร์ แชมเปญ วิสกี้ บรั่นดี จึงเข้ามามาก
แต่การเก็บอากรสุราเริ่มขึ้นเมื่อสมัยพระเจ้าปราสาททอง และปรับเปลี่ยนเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้.