หากเอ่ยถึงชื่อ “โกโกลุก” (Gogolook) อาจไม่เป็นที่คุ้นหูเท่าใดนัก แต่ถ้าพูดถึง “Whoscall” เชื่อว่าน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี ในฐานะแอปพลิเคชันระบุหมายเลขโทรศัพท์และช่วยกรองสายที่น่าสงสัยด้วยระบบ AI และเป็นหนึ่งในแอปฯ ที่หลายคนต้องโหลดติดไว้ในโทรศัพท์มือถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ทั่วโลกกำลังถูกโจมตีด้วย Scam หรือการหลอกลวงในรูปแบบต่างๆ ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต จนเป็นภัยไซเบอร์ที่สร้างความเสียหายจำนวนมหาศาล
Whoscall เป็นแอปพลิเคชันที่พัฒนาโดยบริษัท Gogolook สตาร์ทอัปสัญชาติไต้หวัน ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2012 โดยคนรุ่นใหม่อย่าง Mr. Jeff Kuo ด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ เพราะเขาเองเคยเกือบตกเป็นเหยื่อของสแกมเมอร์เช่นเดียวกัน จึงเห็นปัญหาและคิดว่าควรจะมีที่ที่คนสามารถมาแชร์ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ จึงเป็นที่มาของการก่อตั้งโกโกลุกและพัฒนา Whoscall แอปฯ เช็กเบอร์โทรศัพท์ที่สามารถระบุข้อมูลเบื้องต้นของเบอร์ที่ไม่รู้จัก โดยการดึงข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตและฐานข้อมูลของแอปฯ ที่มีฐานข้อมูลทั่วโลกมาใช้ เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวงจากมิจฉาชีพ
โกโกลุกถือเป็นสตาร์ทอัปรายแรกที่มีบริษัทใหญ่ระดับโลกอย่าง NAVER บริษัทแม่ของแอปฯ LINE Global Messenger สนใจเข้าไปลงทุนในปี 2013 ซึ่งในเวลานั้นเองคนไทยก็ได้รู้จัก Whoscall ในชื่อของ Line Whoscall ซึ่งเป็นบริการที่อยู่ใน “Line” แอปฯ ยอดนิยมของคนไทย
หลังจากนั้นโกโกลุกมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และขยายการให้บริการไปมากกว่า 30 ประเทศทั่วโลก ทั้งเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ฮ่องกง บราซิล มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ รวมถึงประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้ง องค์กรต่อต้านกลโกงระดับโลก “Global Anti-Scam Alliance” (GASA) องค์กรที่รวมภาคเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาสแกมในระดับโกลบอล โดยมีบริษัทเทคฯ ระดับโลกอย่าง Google, Meta, amazon และ ScamAdviser เป็นสมาชิก โดยเป้าหมายของโกโกลุกคือการสร้างความน่าเชื่อถือในโลกอินเทอร์เน็ตและป้องกันการสแกม ปัญหาที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ กระทั่งในปี 2023 จากสตาร์ทอัปเล็กๆ โกโกลุกสร้างการเติบโตจนสามารถเข้าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไต้หวัน (Taiwan Stock Exchange: TWSE) ได้เป็นผลสำเร็จ
ดังที่ทราบกันดี ปัญหาการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตหรือ Scam เป็นปัญหาระดับโลกที่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในแต่ละปีเป็นจำนวนมหาศาล ปีที่ผ่านมาสแกมสร้างความเสียหายทั่วโลกมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแทบจะเป็น 1% ของ GDP ของทั้งโลกที่ต้องสูญเสียให้กับเหล่ามิจฉาชีพ และมีประชากรโลกราว 25% ถูกมิจฉาชีพหลอกลวง ที่น่าสนใจคือประเทศไทยและเกาหลีใต้มีปัญหาจากการสแกมเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
ข้อมูลจาก Whoscall ระบุว่า ในแต่ละวันคนไทยตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพถึงวันละ 217,047 คน มูลค่าความเสียหายสะสมกว่า 53,876 ล้านบาท ใน 1 ปี มีสายจากมิจฉาชีพ 20.8 ล้านครั้ง และมี SMS หลอกลวงถึง 58.3 ล้านข้อความ โดยถือเป็นประเทศที่โดนข้อความหลอกลวงมากที่สุดในเอเชีย นั่นจึงทำให้โกโกลุกเล็งเห็นถึงโอกาสที่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหา จึงตัดสินใจเข้ามาตั้งสำนักงานใหญ่แห่งที่ 2 หรือ Dual Headquarters ในประเทศไทย ต่อจากไต้หวันที่เป็นบ้านเกิด เพื่อรุกตลาดอย่างเต็มตัวหลังจากให้บริการแอปฯ Whoscall ในไทยมานาน อีกทั้งยังตั้งเป้าให้ไทยเป็นฮับในการขยายตลาดสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย
เจฟฟ์ กัว (Jeff Kuo) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท โกโกลุก เปิดเผยกับ “ผู้จัดการ 360°” ว่า การตัดสินใจมาตั้งสำนักงานใหญ่ที่ประเทศไทย มาจาก 4 เหตุผลหลัก คือ 1. ปัญหาสแกมที่เกิดขึ้นในไทยเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว 2. ภาครัฐและภาคเอกชนในไทยให้ความสำคัญกับปัญหาสแกมและให้ความร่วมมือกับโกโกลุกในการที่จะช่วยกันแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น 3. ไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สามารถเชื่อมต่อไปยังประเทศต่างๆ ได้ และ 4. Whoscall ในไทยเติบโตได้ดี
“โกโกลุกให้ความสำคัญกับไทยไม่ใช่แค่ในฐานะสำนักงานประจำภูมิกาค แต่เป็นสำนักงานใหญ่แห่งที่ 2 โดยให้ความสำคัญทั้งการลงทุน การขยายธุรกิจ และมี CEO มาประจำในเมืองไทย โดยสำนักงานใหญ่ที่ไต้หวันจะเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาแอปพลิเคชันต่างๆ ในเชิงของวิศวกรรม coding และเทคโนโลยี สำหรับในไทยจะเน้นการพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่แค่ให้เหมาะกับไทย แต่ให้เหมาะประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่โกโกลุกจะขยายธุรกิจไปด้วย โดยในอนาคตจะมีการเพิ่มบุคลากรทั้งดีไซเนอร์ และวิศวกร มากขึ้น”
สำหรับกลยุทธ์ในการทำการตลาดในเมืองไทยนั้น นายแมนวู จู ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โกโกลุก ประเทศไทย เปิดเผยว่า “ปัจจุบันปัญหาสแกมเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก และโกโกลุกก็มีเทคโนโลยีและเครื่องมือที่จะสามารถช่วยได้ แต่มันจะไม่เกิดประโยชน์เลยถ้าคนในประเทศในสังคมไม่รู้ว่าเราทำอะไร โดยกลยุทธ์ที่โกโกลุกจะนำมาใช้คือ ให้ความรู้กับสังคมในการระวังตัวเองโดยใช้บริการที่โกโกลุกมี, เน้นการทำงานร่วมกับภาครัฐและเอกชน, พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยทั้งผู้บริโภคและองค์กรเพื่อป้องกันภัยไซเบอร์”
ในไทยโกโกลุกจะโฟกัสทั้ง Consumer และ Corporate โดยในฝั่ง Consumer จะช่วยผู้บริโภคป้องกันตัวจากมิจฉาชีพ ผ่านแอปฯ Whoscall ซึ่งมีบริการทั้งแบบใช้ฟรีและแบบพรีเมียมที่ต้องเสียค่าบริการ ฟีเจอร์ที่ใช้ได้ฟรี ได้แก่ Caller ID ระบุเบอร์โทรที่ไม่รู้จักทันที, Auto Web Checker เช็กลิงก์เว็บไซต์ปลอมอัตโนมัติ, ID Security เช็กข้อมูลรั่วไหลป้องกันการขโมยข้อมูลส่วนบุคคล, Scam Alert เตือนภัยกลโกง ซึ่งปัจจุบันในไทยมียอดดาวน์โหลด Whoscall อยู่ที่ 25 ล้านดาวน์โหลด เติบโตขึ้น 3 เท่า เมื่อเทียบกับระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่ความท้าทายที่ตามมาคือ ส่วนใหญ่แล้วคนนิยมใช้แบบฟรี ส่วนรายได้จากฝั่งที่เป็นพรีเมียมมีเพียง 4% เท่านั้น
นั่นจึงทำให้โกโกลุกต้องขยายน่านน้ำสู่การรุกตลาดกลุ่มองค์กรธุรกิจ (Corporate) พัฒนาโซลูชันที่ตอบโจทย์ฝั่งธุรกิจมากขึ้น เพราะปัจจุบันมิจฉาชีพไม่ได้กระทบแค่ผู้บริโภค แต่ธุรกิจเองก็เสียหายและต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อลูกค้าของตนด้วยเช่นกัน แม้ในไทยอาจยังไม่มีกฎหมายที่มาบังคับให้ฝั่งธุรกิจต้องรับผิดชอบความเสียหายให้ผู้บริโภค แต่ในฝั่งตะวันตกเริ่มมีกฎหมายที่บังคับให้องค์กรรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น รวมถึงในฝั่งไต้หวัน สิงคโปร์ เกาหลี ก็เริ่มมีการพูดถึงเรื่องนี้เช่นกัน จึงถือเป็นโอกาสของโกโกลุกในการทำการตลาดในฝั่งของธุรกิจ
โดยโกโกลุกได้จับมือกับ ScamAdviser พัฒนาโซลูชันที่ออกแบบมาสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ไปจนถึงธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ให้สามารถรับมือกับภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโซลูชันสำหรับธุรกิจในประเทศไทยประกอบด้วย 1. Whoscall Verified Business Number (VBN) ช่วยยืนยันเบอร์โทรศัพท์ของธุรกิจ เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจในความถูกต้องของสายเรียกเข้า ธุรกิจสามารถใช้โซลูชันนี้เพื่อเสริมสร้างการสื่อสารกับลูกค้า ปกป้องภาพลักษณ์ของแบรนด์ และป้องกันความเสียหายต่อชื่อเสียงจากการถูกแอบอ้าง โดยเบอร์โทรศัพท์ที่ได้รับการยืนยันแล้วจะแสดงชื่อ โลโก้ จุดประสงค์ของการติดต่อ และเครื่องหมายการยืนยัน
2. ระบบเตือนภัยล่วงหน้าเกี่ยวกับการฉ้อโกง (Fraud Early Warning System) เป็นระบบอัจฉริยะที่ให้บริการทั้งการตรวจสอบ การแจ้งเตือนล่วงหน้า และการป้องกันจากการโทร ข้อความ โดเมน URL หรือโซเชียลที่อาจเป็นภัยต่อองค์กร
ปัจจุบันมีลูกค้าองค์กรในธุรกิจต่างๆ ทั้ง โลจิสติกส์ สถาบันการเงิน ประกันภัย และอสังหาริมทรัพย์ กว่า 100 บริษัทลงทะเบียนเพื่อยืนยันหมายเลขธุรกิจบนบริการ Whoscall Verified Business Number และในอนาคตโกโกลุกมีแผนขยายบริการไปยังภาคเทคโนโลยีทางการเงิน โทรคมนาคม และผู้ให้บริการทั้งหมดบนอินเทอร์เน็ตเพิ่มเติม
ในแง่สัดส่วนรายได้ พบว่า 47% ของรายได้มาจากไต้หวัน 46% มาจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนอีก 7% มาจากภูมิภาคอื่นๆ แน่นอนว่าจากตัวเลขดังกล่าว ภูมิภาคเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถือเป็นฐานในการสร้างรายได้ที่สำคัญ จึงไม่แปลกที่วันนี้โกโกลุกจะตัดสินใจมาตั้งสำนักงานใหญ่แห่งที่ 2 ในเมืองไทย เพื่อเดินเครื่องรุกตลาดในภูมิภาคนี้อย่างจริงจัง.