ปี 2024 นับว่าเป็นปีที่สร้างความท้าทายให้แก่ผู้ประกอบการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เมื่อภาวะเศรษฐกิจสร้างผลกระทบต่ออุตสาหกรรมนี้ในทุกระนาบ
ท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ที่มีปัจจัยลบรอบด้านทั้งภายในและภายนอก เมื่อพิจารณาจากตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ แบงก์ชาติเปิดเผยตัวเลขล่าสุดคนไทยมีหนี้ครัวเรือนสูงถึง 30 ล้านคน หนี้ในระบบ 13.6 ล้านล้านบาท หนี้เสีย 1.2 ล้านล้านบาท
ภาวะหนี้ครัวเรือนสูงส่งผลให้ธนาคารเข้มงวดเรื่องการปล่อยสินเชื่อ ส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ผู้ประกอบการในธุรกิจนี้พยายามเรียกร้องให้รัฐบาลมีมาตรการใหม่เพื่อหวังว่าจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ ทั้งการผ่อนปรนมาตรการ LTV ต่ออายุมาตรการลดค่าโอน-จดจำนองบ้าน คอนโดมิเนียม
การชะลอตัวของเศรษฐกิจและมาตรการเข้มด้านสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ส่งผลโดยตรงต่อตลาดตั้งแต่ระดับกลางถึงระดับล่าง ผู้บริโภคกลุ่มนี้ต้องประเมินปัจจัยและเงื่อนไขอย่างรอบด้าน ทำให้ตลาดนี้ไม่เติบโตเท่าที่ควร ซึ่งแตกต่างจากตลาดระดับกลางถึงระดับบน ที่ไม่ได้ผลกระทบจากความอ่อนแอของเศรษฐกิจ
จุดนี้ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ ส่วนหนึ่งสร้างความยูนีค และพัฒนาโครงการในลักษณะลักชัวรี เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่ยังคงมีกำลังซื้ออย่างสม่ำเสมอ
ค่ายแอสเซท ไฟว์ ยังสามารถยืนระยะท่ามกลางภาวะที่ต้องเผชิญกับแรงกดดันของตลาด และสร้างเส้นกราฟให้เติบโตได้เป็นอย่างดี
“เราต้องรู้จักตัวเองก่อน ว่าเราทำอะไรได้ดี และทำอะไรให้ดีกว่านี้ได้” แนวคิดของ ศุภโชค ปัญจทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ A5 เกิดและเติบโตมาจากตระกูลที่ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไทยมาอย่างยาวนาน มีคุณปู่อย่าง โชคชัย ปัญจทรัพย์ ที่คร่ำหวอดในวงการอสังหาฯ เป็นต้นแบบ
แต่ศุภโชคพยายามยืนด้วยขาของตัวเองด้วยการตัดสินใจที่จะไม่พึ่งพากงสี และสร้างอาณาจักรของตัวเอง ไม่ใช้ที่ดินของตระกูลมาเริ่มต้นโครงการ
“ผมเกิดและเติบโตมาในอุตสาหกรรมนี้ เห็นวงจรของธุรกิจนี้มาโดยตลอด ทำให้เราเห็นว่า ถ้าเราจะทำได้ดีในธุรกิจนี้เราต้องรู้จักตัวเองก่อน ว่าเราทำอะไรได้ดี และทำอะไรให้ดีกว่านี้ได้ นั่นคือการที่เราจะต้องไม่แข่งที่การเป็น The Best แต่เราต้องสร้างยูนีค เพื่อจับตลาดนิชมาร์เกต” ศุภโชคอธิบาย
A5 ภายใต้การบริหารงานของ ศุภโชค ที่ไม่ใช่แค่การพัฒนาโครงการเพื่อเจาะตลาดลูกค้าตั้งแต่ระดับกลางถึงระดับบนเท่านั้น แต่ศุภโชคยังสร้างความแตกต่างให้ A5 ไม่เหมือนผู้ประกอบการอสังหาฯ รายอื่นด้วยการสร้างคุณค่าให้เกิดขึ้นกับโครงการ
“เราเน้นเลือกทำเลที่ตอบสนองความต้องการในหลายมิติของลูกค้า การเลือกใช้วัสดุที่มีความคงทน เหมาะสมกับราคาที่ลูกค้าจ่าย สร้าง Legacy ให้เป็นมรดกตกทอดต่อจากรุ่นสู่รุ่นได้ พื้นที่ใช้สอยสำหรับทุกคนในครอบครัว ที่จะต้องมีเพียงพอสำหรับทุกคนในบ้านให้ใช้ร่วมกันได้ และแน่นอนว่าทุกคนจะต้องมีพื้นที่ส่วนตัวด้วย”
ความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงปัจจัยจากภายนอกประเทศอย่างสงครามการค้า กำแพงภาษีระหว่างสหรัฐอเมริกา และจีน ซีอีโอ A5 ไม่มีความกังวลมากนัก คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่ออุตสาหกรรมอสังหาฯ
“ตลอดระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมา เราเผชิญหน้ากับมรสุมมาหลายเหตุการณ์ ต้องบอกว่าธุรกิจอสังหาฯ ไม่ได้ราบรื่นนัก แต่ตลาดในกลุ่มลักชัวรี ยังคงเติบโตได้ดี ภาวะเศรษฐกิจไทยที่กำลังซื้อลดลง รวมถึงหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น ต้องบอกว่าไม่กระทบต่อธุรกิจเรามากนัก เพราะกลุ่มลูกค้าหลักของเราคือ ลูกค้ากลุ่มไฮเอนด์ ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้จะไม่ได้รับผลกระทบ กำลังซื้อยังคงมีอยู่อย่างแน่นอน แต่อาจจะส่งผลต่อมู้ดหรืออารมณ์ในการตัดสินใจซื้อ ขณะที่มาตรการของธนาคารที่คุมเข้มด้านการปล่อยสินเชื่อก็ไม่สร้างผลกระทบกับธุรกิจเราเช่นกัน เพราะลูกค้ากลุ่มใหญ่ของเราจะไม่กู้ธนาคาร 70 เปอร์เซ็นต์ จะชำระด้วยเงินสด มีเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ ที่ใช้บริการสินเชื่อ ส่วนกำแพงภาษีและสงครามค่าเงินระหว่างอเมริกากับจีน หลังจากสหรัฐฯ ได้ประธานาธิบดีคนใหม่เป็นโดนัลด์ ทรัมป์ เรามองว่า กำแพงภาษีจะไม่กระทบต่อต้นทุนการก่อสร้างมากนัก แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่กระทบเลย เพียงแต่ผลพวงอาจจะยังไม่ชัดเจนเท่าไร” ศุภโชคอธิบาย
ด้านผลประกอบการปีนี้ ศุภโชคมั่นใจว่ารายได้ของบริษัทจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ นั่นคือ รายได้ 2 พันล้านบาท ซึ่งจะมีการทยอยรับรู้รายได้ในช่วงสุดท้ายของไตรมาส 4/2567 และไตรมาส 1/2568
นอกจากนี้ ศุภโชค ยังเปิดเผยแผนการดำเนินงานที่มีเป้าหมายรายได้ 5 พันล้านบาทภายใน 2-3 ปี จับกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์ โดยภายในปี 2568 เดินหน้าเปิดโครงการใหม่ ที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี และอัลตราลักชัวรี ระดับราคาตั้งแต่ 25 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งจะมี 2 โครงการ
และยังมีแผนที่จะพัฒนาโครงการบ้านที่มีระดับราคาต่ำกว่า 25 ล้านบาท เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ซึ่งมองว่านี่จะเป็นโอกาสสำหรับการสร้างรายได้ให้บริษัท เนื่องจากตลาดอสังหาฯ โดยรวมมี Product Segment ของบ้านระดับบนเข้ามาเติม โดยโครงการที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 25 ล้านบาทลงมาจะเริ่มมีการพัฒนาภายในปี 2569
ทำเลที่ A5 เตรียมปักหมุดโครงการทั้งหมดในย่านที่คาดว่าจะมีดีมานด์ที่ดีและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้
“สถานการณ์ดีมานด์และซัปพลายของตลาดในปัจจุบันต้องบอกว่า หลายทำเลมีภาวะโอเวอร์ซัปพลาย แต่ในมุมมองของเรา หลายทำเลดีมานด์ยังล้น ซึ่งเราก็มองว่าทำเลไหนที่เหมาะสมและตอบโจทย์ พื้นที่ที่เรามองไว้สำหรับโครงการในอนาคตคือ ย่านบางนา พัฒนาการ วัชรพล และกรุงเทพกรีฑา”
ผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่อยู่ใน ดีเอ็นเอ ของศุภโชค ปัญจทรัพย์ ผนวกกับแนวทางการดำเนินธุรกิจที่มองเห็นว่าตลาดไหนจะมีกำลังซื้ออย่างต่อเนื่อง และเจาะกลุ่มนั้นสร้างให้เกิดฐานลูกค้าหลักของบริษัท ทำให้บริษัท A5 ผู้ประกอบการอสังหาฯ รายนี้ยืนระยะได้ท่ามกลางสถานการณ์ที่สร้างความสั่นคลอนให้แก่อุตสาหกรรม ก่อนศุภโชคจะทิ้งท้ายว่า
“เราเชื่อว่าที่อยู่อาศัยในไทยในปัจจุบันเราสามารถทำให้ดีกว่านี้ได้ เพราะเรายึดหลัก Complete to be your need”.