วันศุกร์, ตุลาคม 18, 2024
Home > Cover Story > เอกา โกลบอล สยายปีกลุยแดนภารตะ ปักหมุดรุกตลาดบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร

เอกา โกลบอล สยายปีกลุยแดนภารตะ ปักหมุดรุกตลาดบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร

อินเดียกำลังถูกจับตามองอย่างมากจากนักธุรกิจ นักลงทุนทั่วโลก เพราะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก สาเหตุหลักคือ ปัจจุบันจำนวนประชากรอินเดียแซงหน้าจีนด้วยจำนวน 1,450 ล้านคน และประชากร 2 ใน 3 อยู่ในวัยทำงาน ขณะที่อีกหลายประเทศกำลังกังวลเรื่องประชากรสูงวัยที่เพิ่มจำนวนขึ้น และส่งผลกระทบต่อภาคแรงงาน ทว่า อินเดียมีประชากรสูงวัยที่อายุ 65 ปีขึ้นไปเพียง 6เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

นอกจากนี้ รัฐบาลอินเดียมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่ชื่อว่า Made in India ที่เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนอินเดียเป็นศูนย์กลางการผลิตของโลก โดยจะเป็นการลดภาษีให้นักลงทุนจากต่างชาติเข้ามาตั้งโรงงานที่อินเดีย

ขณะที่โครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาเครือข่ายดิจิทัล ส่งผลให้บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกหันมาลงทุนในอินเดียเพิ่มขึ้น ข้อได้เปรียบที่อินเดียจะได้รับคือการถ่ายทอดเทคโนโลยีมาสู่อินเดีย ซึ่งจะทำให้อินเดียสามารถเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันนอกประเทศได้มากขึ้น

หากมองในปัจจุบัน ปี 2024 อินเดียคือประเทศที่มีการเติบโตของ GDP สูงเป็นอันดับ 1 ขนาด GDP มีมูลค่า 3,094 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ การขยายตัวของ GDPอยู่ที่ 6.8-7 เปอร์เซ็นต์ และสิ่งที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจผลักดันให้ GDP โตเส้นกราฟพุ่งทะยานคือ การขยายตัวของภาคบริการและเทคโนโลยี ประเทศที่มีการเติบโตของ GDPอันดับ 2 คือ เวียดนาม อันดับ 3 บังกลาเทศ

อินเดียถูกคาดการณ์ว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าเศรษฐกิจจะมีแข็งแกร่ง โดยตัวเลขขนาด GDP ที่ถูกประเมินในปี 2050 อยู่ที่ 44.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นรองจีน อันดับหนึ่ง ที่ 58.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

ด้วยปัจจัยแวดล้อมข้างต้นเป็นส่วนผลักดันให้ผู้บริหาร เอกา โกลบอล ตัดสินใจควักกระเป๋าลงทุนเบื้องต้น 300 ล้านบาทปักหมุดตั้งโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารในอินเดียหลังทำตลาดมานานประมาณ 5 ปี

“เราเริ่มดำเนินธุรกิจในอินเดียเมื่อปี 2019 เวลานั้นเรามีเพียงสำนักงานขาย เราจะส่งสินค้ามาจากไทยโดยตรง หลังจากเราศึกษาและวิเคราะห์ตลาดจากคำสั่งซื้อจากอินเดียที่เติบโตเฉลี่ยปีละ 100 เปอร์เซ็นต์ จุดนี้เองที่มองว่านี่อาจจะเป็นเวลาที่เหมาะสมที่เราจะสร้างโรงงานที่อินเดีย เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง และภาษี

เราเห็นว่า เศรษฐกิจอินเดียมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตัวเลข GDP ที่เติบโตประมาณ 6.8-7 เปอร์เซ็นต์ นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เราตัดสินใจตั้งโรงงานเพื่อผลิตสินค้าในอินเดีย การลงทุนสำหรับโรงงาน 300 ล้านบาท กับผลลัพธ์ที่จะตามมานั้น คุ้มค่าแน่นอน” ชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด ให้ข้อมูล

อินเดียเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีการบริโภคสูง โดยอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในอินเดียมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง มีการคาดการณ์กันว่า อุตสาหกรรมนี้จะมีมูลค่า 4.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2568 และจะเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 80  ในระยะเวลา 5 ปี

ขณะที่ปัจจัยที่ส่งเสริมให้อุตสาหกรรมนี้เติบโตคือ 1. กลุ่มชนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง 2. ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคเปลี่ยนไป ต้องการตัวเลือกที่คุณภาพสูงและหลากหลาย 3. ชุมชนเมืองที่เติบโตอย่างรวดเร็วเปิดโอกาสให้ธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรี และอาหารกึ่งสำเร็จรูปเป็นที่ต้องการมากขึ้น และ 4. รัฐบาลอินเดียมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนภาคเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารเพื่อเพิ่มการส่งออกสินค้าอาหารสู่ตลาดโลก

การเติบโตแบบก้าวกระโดดของเศรษฐกิจอินเดียในมิติหลักทำให้ เอกา โกลบอลกล้าที่จะตั้งเป้าหมายทั้งด้านยอดขาย และคำสั่งซื้อแบบเพิ่มขึ้น 100 เปอร์เซ็นต์

“ประชากรอินเดียในปัจจุบันเริ่มมองหาตัวเลือกที่ดีขึ้น บรรจุภัณฑ์ที่ช่วยยืดอายุอาหารจึงเป็นตัวเลือกสำคัญของผู้ประกอบการในตลาดอาหารที่อินเดีย คุณสมบัติสำคัญของบรรจุภัณฑ์นี้จะช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าของสินค้าโดยเฉพาะสินค้าเพื่อการส่งออกที่ต้องใช้เวลาในการขนส่ง ทำให้อาหารหรือขนมที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารอยู่ในตลาดได้นานขึ้น

นับตั้งแต่ที่เราเริ่มดำเนินธุรกิจในอินเดีย เราเห็นตัวเลขคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นแบบเท่าตัว ปีนี้คาดการณ์ว่ายอดขายจะอยู่ที่ 400 ล้านรูปี หรือประมาณ 200 ล้านบาท สำหรับปีหน้าตั้งเป้ายอดขาย 800 ล้านรูปี และในปี 5 ปีข้างหน้า เราตั้งเป้าไว้ที่ 2,400 ล้านรูปี” ชัยวัฒน์ขยายความ

การตั้งเป้ายอดขายนั่นหมายความว่า เอกา โกลบอล อินเดีย ต้องมีลูกค้าในมือมากพอสมควรที่จะหวังผลในระดับสูงได้ ชัยวัฒน์ระบุว่า ที่ผ่านมาเรามีลูกค้าไม่น้อยกว่า 300 ราย และหลังจากก่อตั้งโรงงานผลิตในอินเดีย ตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนลูกค้าให้ได้อีก 280 ราย ซึ่งในจำนวนนี้ 40 รายอยู่ระหว่างการทำ R&D ให้ลูกค้า พร้อมแผนที่จะเพิ่มจำนวนลูกค้าเป็น 800 รายภายใน 5 ปี

การเป็นนักลงทุนต่างชาติในดินแดนภารตะ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะนอกจากเหตุผลของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่จะเกื้อหนุนธุรกิจได้แล้ว นักลงทุนต่างชาติ หรือนักลงทุนไทยจำเป็นต้องเตรียมการหรือพิจารณาอะไรบ้าง

“การเข้ามาลงทุนในอินเดีย ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีความแตกต่างจากการลงทุนในประเทศไทยพอสมควร ในด้านการดำเนินการขออนุญาต เป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน ไม่มี One Stop Service แบบไทย เราจะได้เปรียบและทำงานง่ายขึ้น หากเรามีคอนเนกชัน หรือมีคนอินเดียช่วยบริหารจัดการในขั้นต้นให้ ทั้งในแง่คำแนะนำและการเตรียมเอกสาร”

ตลอดช่วงทศวรรษ 1990 อินเดียมีเงินลงทุนจากต่างประเทศตามหลังประเทศใหญ่ๆ ที่เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ โดยเงินลงทุนคิดเป็น 25 เปอร์เซ็นต์ ของ GDP แต่การปรับปรุงกฎระเบียบ การปฏิรูปเศรษฐกิจเริ่มส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนจากทั้งในและต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในภาคการผลิต อีกทั้งการลดภาษีนิติบุคคล การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐในปีงบประมาณ 2023-2024 เพิ่มเป็น 2 เท่า เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเข้ามาลงทุนของภาคเอกชนเพิ่มขึ้น

ความเนื้อหอมของอินเดียเห็นได้ชัดจากการที่บริษัทบิ๊กเทคให้ความสนใจและปักหมุดในอินเดียมากขึ้น เช่น Tesla, Amazon, Google, Apple

ปัจจุบัน เอกา โกลบอล มีโรงงานอยู่ในไทย จีน และอินเดีย แม้จะเป็นน้องใหม่ที่เพิ่งเข้ามาตั้งโรงงานที่อินเดียได้เพียงไม่กี่เดือน แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ การเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร

“ก่อนที่จะเข้ามาสร้างโรงงานในอินเดีย การดำเนินธุรกิจก่อนหน้าใช้วิธีส่งตรงจากไทยมาตามคำสั่งซื้อของลูกค้า นอกจากนี้ ยังมีคู่ค้าที่ผลิตบรรจุภัณฑ์สั่งซื้อวัตถุดิบจากเราเช่นกัน แต่ในแง่ศักยภาพการผลิต ความชำนาญที่เรามี กล้าพูดว่า เราเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดอินเดียด้านบรรจุภัณฑ์ที่สามารถยืดอายุอาหารได้

นอกจากนี้ ข้อดีของการที่ทำธุรกิจที่อินเดียแตกต่างจากประเทศอื่น คือ เราไม่ต้องคอยกังวลเรื่องการทำเลียนแบบ ขณะที่ในบางประเทศหากนักธุรกิจไปก่อตั้งโรงงานผลิตสินค้า ไม่นานหลังจากนั้นสินค้าจะถูกทำเลียนแบบในเวลาอันรวดเร็ว แต่ที่อินเดียแตกต่างออกไปเพราะวัฒนธรรมด้านธุรกิจของที่นี่ คือ หากเขาเห็นคุณสมบัติของสินค้านั้นๆ ว่า ดี มีประสิทธิภาพตามคำโฆษณา เขาจะเลือกใช้ต่อไปโดยไม่มีการผลิตซ้ำหรือทำเลียนแบบ หมดปัญหาเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์”

ปัจจุบันโรงงานเอกา โกลบอล อินเดีย มีกำลังการผลิตจากเครื่องจักรเพียง 2 ตัวอยู่ที่ 5-8 แสนชิ้นต่อวัน ขึ้นอยู่กับขนาดและสเปกของสินค้า หากนับรวมกำลังการผลิตทั้งปีของทั้ง 3 โรงงานในไทย จีน และอินเดีย จะอยู่ที่ 2,850 ล้านชิ้นต่อปี

“การตั้งเป้าหมายในอนาคต ทั้งแผนระยะสั้นและแผน 5 ปี จำเป็นที่เราจะต้องวางแผนการลงทุนเพิ่ม โดยเราเตรียมงบลงทุนเพิ่มอีก 200 ล้านบาทสำหรับเครื่องจักรอีก 2 ตัว เพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต”

ชัยวัฒน์ยังบอกอีกว่า หากทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีการเติบโตอยู่ในระดับที่ตั้งเป้าหมายไว้ มีความเป็นไปได้ที่จะนำบริษัทเข้าสู่ตลาดหุ้นอินเดียในอนาคต.