ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics) คาดการณ์ว่าตลาดสัตว์เลี้ยงของไทยในปี 2567 จะมีมูลค่าราว 7.5 หมื่นล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 12.4% จากปี 2566 สอดคล้องกับเทรนด์ Pet Humanization ที่ดูแลสัตว์เลี้ยงเสมือนสมาชิกในครอบครัว และหนุนให้ค่าใช้จ่ายในการดูแลสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเฉลี่ยที่ 41,100 บาทต่อตัวต่อปี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงที่มูลค่าตลาดทะยานไปถึง 4.46 หมื่นล้านบาท บนค่าเฉลี่ยการเติบโตของมูลค่าตลาดย้อนหลัง 5 ปี (CAGR) ที่ 17.0% และการแข่งขันก็เป็นไปอย่างดุเดือดเช่นกัน มีทั้งผู้เล่นหน้าเก่าที่ต่างขยายการลงทุนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ป้อนเข้าสู่ตลาด รวมถึงผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่กระโดดเข้าสู่ตลาดเพื่อชิงส่วนแบ่งการตลาดระดับหมื่นล้านนี้
“ผู้จัดการ 360 องศา” มีโอกาสได้พูดคุยกับ นายสัตวแพทย์ จดล สุวรรณฤทธิ์ หรือ “หมอเอ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรยัล คานิน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสำหรับสุนัขและแมวระดับซูเปอร์พรีเมียมแบรนด์ “Royal Canin” จากประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้เล่นรายสำคัญที่เข้ามาทำธุรกิจในเมืองไทยได้พักใหญ่ๆ โดยหมอเอได้เผยภาพรวมของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในปัจจุบัน รวมถึงแนวโน้มในอนาคตไว้อย่างน่าสนใจว่า
อาหารหมาแมวในตลาดสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มโดยใช้เกณฑ์ระดับราคาต่อกิโลกรัม ได้แก่ Economy ที่มักพบได้ตามต่างจังหวัดและคนนิยมซื้อไปบริจาค, Mainstream ซึ่งเป็นตลาดใหญ่สุด ราคาต่อกิโลกรัมอยู่ที่ประมาณ 100 บาท, Premium, และ Super Premium ที่ราคาเฉลี่ยเกือบ 400 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งผลิตภัณฑ์ของโรยัล คานิน จัดอยู่ในกลุ่มนี้
ที่ผ่านมาตลาดอาหารหมาแมวถือเป็นธุรกิจที่เติบโตแบบก้าวกระโดด และเป็นการโตแบบ Double Digit ในตัวเลขที่สูงมาก โดยก่อนเกิดโควิด-19 มีการเติบโตอยู่ที่ บวก 1-2% จากจีดีพีประเทศ หรือราวๆ 3.4 – 4.5 % ต่อปี และถ้าเป็นกลุ่มอาหารแบบซูเปอร์พรีเมียมจะบวกเพิ่มขึ้นอีก 1% ของตลาดโดยรวม ในขณะที่ช่วงโควิด-19 ตลาดกลับมีการเติบโตที่มากกว่าเดิม โดยตลาดที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงไม่ว่าจะเป็นอาหาร อุปกรณ์ เครื่องเล่น ขนม โตขึ้นมากกว่า 10% และต่อเนื่องมาจนถึงปีที่แล้ว
โดยก่อนโควิดตลาดอาหารหมาแมวส่วนใหญ่จะเป็น Mainstream และซูเปอร์พรีเมียม แต่พอช่วงโควิดคนพยายามหาทางเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพของหมาแมวมากขึ้น แต่อาจจ่ายเกรดที่เป็นซูเปอร์พรีเมียมไม่ไหว เลยทำให้มีการเติบโตของกลุ่มพรีเมียมเพิ่มมากขึ้น เพราะฉะนั้นแบรนด์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมาในตอนนี้จึงไม่ได้วางตัวเป็น mainstream หรือ economy แต่วางตัวเป็นอาหารระดับพรีเมียมที่เห็นหนาตาขึ้นในท้องตลาด ซึ่งส่งผลให้ซูเปอร์พรีเมียมใหญ่ขึ้นด้วยเช่นกัน
“ตลอดเวลาที่ผมอยู่ในธุรกิจจะเห็นการเติบโตในลักษณะแบบนี้มาตลอดเวลา พูดง่ายๆ คือเป็นธุรกิจที่ไม่เห็นปีไหนที่ต่ำกว่าจีดีพีของประเทศ เพียงแต่ว่าขนาดของธุรกิจ ณ ตอนนั้นอาจไม่ได้ใหญ่ จำนวนผู้เล่นมีไม่มากนัก มีเฉพาะรายใหญ่ๆ ที่อยู่ในตลาด แต่พอช่วงโควิดตลาดมีการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เราเจอคือเริ่มจากกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้เพาะพันธุ์ ปรากฏว่าพอมีลูกหมาลูกแมวออกมาปุ๊บขายหมด ตามสถานที่รับอุปการะหมาแมวก็หมด คนนิยมเลี้ยงหมาแมวเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นเทรนด์แบบนี้ทั่วโลก เมืองไทยก็อยู่ในเทรนด์นี้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะน้องแมวที่คนสนใจเลี้ยงมากขึ้น”
จากพฤติกรรมของคนในปัจจุบันที่หันมานิยมเลี้ยงแมวมากขึ้น เพราะแมวเลี้ยงง่าย กินน้อย ไม่ส่งเสียงดัง ทำให้จำนวนประชากรแมวมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดคำว่า “ทาสแมว” ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน ทำให้ตลาดอาหารแมวเริ่มใหญ่แซงหน้าอาหารหมามากขึ้นเรื่อยๆ โดยมูลค่าตลาดของอาหารแมวของปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 18,000 ล้านบาท ในขณะที่อาหารหมาอยู่ที่ 16,000 ล้านบาท
และด้วยการเติบโตของตลาดที่เกิดขึ้น ทำให้แบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงใหม่ๆ ที่เข้ามาในตลาดจะเป็นแบรนด์อาหารแมวมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่เป็นอาหารเปียกแบบซอง หรือ pouch เพราะเป็นอาหารที่ไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงในการผลิต และสามารถที่จะปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีและกระบวนการผลิตจากการผลิตอาหารคนมาใช้ได้ อีกทั้งไทยยังเป็นประเทศที่ส่งออกปลาทูน่าและปลาซาร์ดีนซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารแมวเช่นกัน นั่นจึงทำให้ในท้องตลาดมีอาหารแมวแบบซองมากยิ่งขึ้น
“ในตลาดตอนนี้มีแบรนด์อาหารแมวแบบซองหรืออาหารเปียกเกิดขึ้นมากกว่า 30-40 แบรนด์ เพราะผลิตง่ายและมีโรงงานที่เป็น OEM รับทำ จริงๆ แล้วการเลี้ยงแมวมีเทรนด์มาตั้งแต่ก่อนโควิดและมาพีกตอนโควิด ถ้าดูจากภาพรวมอุตสาหกรรมและพอร์ตโฟลิโอของโรยัล คานิน เอง แมวมีการเจริญเติบโตแบบก้าวกระโดดขึ้นมา 16 ปีที่แล้วตอนที่ผมเข้ามา สัดส่วนอาหารหมาของโรยัล คานิน อยู่ที่ 70% และแมวอยู่ที่ 30% แต่ตอนนี้อาหารแมวปรับมาเป็น 60% และหมาอยู่ที่ 40% โดยปรับมาตั้งแต่ปีแรกของโควิด พอปีที่ 2 ของโควิดทำให้ตัวเลขอาหารแมวแซงหน้าขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด”
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้ขนาดของธุรกิจขยายใหญ่ขึ้น และตามมาด้วยโอกาสในตลาดมากขึ้นด้วยเช่นกัน จากการสำรวจประชากรหมาแมวในปัจจุบันพบว่า ในประเทศไทยมีแมวประมาณ 7 ล้านตัว กินอาหารสำเร็จรูปอยู่ที่ 30% และหมามีจำนวน 14 ล้านตัว กินอาหารสำเร็จรูป 15-17% นั่นหมายความว่ามีจำนวนหมาแมวรวมแล้วกว่า 80% ที่ยังไม่ได้กินอาหารสำเร็จรูปของหมาแมวโดยเฉพาะ ซึ่งนั่นถือเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ดี และส่งผลให้มีผู้เล่นที่อยากจะเข้ามามากขึ้น โดยจะเห็นว่าทุกแบรนด์พยายามทำให้เป็นที่รู้จักของเจ้าของหมาแมว และเน้นการใช้อินฟลูเอนเซอร์ในการทำการตลาดเป็นส่วนใหญ่
แต่ในฐานะที่อยู่ในแวดวงนี้มานาน สิ่งที่ “หมอเอ” ให้ความสำคัญคือต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เฉพาะเจาะจงและตอบโจทย์ของผู้บริโภคมากขึ้น โดยคำนึงถึงความแตกต่างของน้องแมวน้องหมาแต่ละตัว เพื่อสร้างจุดแข็งให้กับแบรนด์และสร้างสุขภาพที่ดีให้กับสัตว์เลี้ยง อีกทั้งยังเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของเจ้าของหมาแมวในยุคปัจจุบันที่ต้องการสิ่งที่ดีให้กับหมาแมวโดยเฉพาะ
และถ้ามาดูผลิตภัณฑ์ของทางโรยัล คานิน เองก็พบว่า มีการแบ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ค่อนข้างละเอียดและเป็นกลุ่มเฉพาะ โดยแยกตามสายพันธุ์ของหมาแมว อายุ กิจกรรม และความต้องการเฉพาะ มีตั้งแต่อาหารหมาแมวเด็ก (0-1 ปี) หมาแมวโต (1-7 ปี) และหมาแมวสูงอายุ 7 ปีขึ้นไป ไม่เพียงเท่านั้น โรยัล คานิน ยังรุกตลาดหมาแมวสูงอายุมากขึ้นไปอีก ด้วยสูตรอาหารสำหรับหมาแมวอายุ 12 ปีขึ้นไป เพราะความต้องการสารอาหารในแต่ละช่วงอายุต่างกัน
“ตอนนี้โรยัล คานิน กำลังมองในเรื่องของอาหารสำหรับหมาแมวสูงอายุ พวก Aging ซึ่งในตลาดตอนนี้ส่วนใหญ่โฟกัสที่อาหารลูกหมาลูกแมว หมาแมวโต แต่หมาแมวสูงอายุยังไม่ค่อยมีคนมองเท่าไร เรามีอาหารสูตร 12+ และเริ่มเอาสินค้าที่เกี่ยวกับหมาแมวสูงอายุจากต่างประเทศเข้ามาทำการตลาดในไทยแล้ว”
นอกจากอาหารที่แบ่งตามช่วงอายุแล้ว โรยัล คานิน ยังมีอาหารที่แบ่งตามกิจกรรมของหมาแมว อาหารหมาแมวป่วย อาหารหมาแมวที่เลี้ยงในบ้านและนอกบ้าน อีกทั้งยังมีการออกแบบลักษณะของอาหารให้เหมาะกับสรีระของหมาแมวอีกด้วย และล่าสุดยังเปิดตัวอาหารแมวพิเศษ 3 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์แร็กดอลล์ (Ragdoll), สายพันธุ์สฟิงซ์ (Sphynx), และสายพันธุ์เบงกอล (Bengal) เพิ่มเติม เพราะเป็นสายพันธุ์ที่คนไทยเริ่มนิยมนำมาเลี้ยงมากขึ้น
โดยสินค้าของโรยัล คานินที่ขายในไทยจะนำเข้ามาจากฝรั่งเศส ออสเตรีย และเกาหลีเป็นหลัก เพราะยังไม่มีโรงงานผลิตในไทย แต่ในอนาคตหมอเอเผยว่าต้องดูความพร้อมและขนาดของธุรกิจอีกครั้งว่ามีโอกาสตั้งโรงงานผลิตในเมืองไทยหรือไม่
ในส่วนของผลประกอบการพบว่า ปีที่ผ่านมาโรยัล คานินมีการเติบโตของยอดขายที่สูงถึง 20% แต่สำหรับปี 2567 มีการปรับเป้าการเติบโตให้อยู่ที่ 10% ส่วนเป้าหมายระยะยาว ตั้งเป้าไว้ว่าภายในปี 2573 จะมีหมาแมวที่กินอาหารของโรยัล คานินเพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้านตัว จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 4.5 แสนตัว.