“สัมมากร” หรือ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) ถือเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในตลาดมานาน จากที่ดินผืนแรกจำนวน 200 ไร่ในละแวกสุขาภิบาล 3 สู่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่อยู่ในตลาดมานานถึง 54 ปี และส่งมอบบ้านให้ผู้อยู่อาศัยไปแล้วมากกว่า 6,000 หน่วย
สัมมากรก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2513 โดยสำนักงานจัดการทรัพย์สินส่วนพระองค์ เพื่อประกอบกิจการจัดสรรที่ดิน พัฒนาที่ดินแบ่งเป็นแปลงย่อย พร้อมปลูกสร้างบ้านขายให้แก่ประชาชนที่มีรายได้ตั้งแต่ระดับกลางขึ้นไป โดยเริ่มดำเนินโครงการแรกในปี 2516 กับโครงการ “สัมมากร บางกะปิ” ที่เริ่มต้นจากที่ดินจำนวน 200 ไร่ ในละแวกสุขาภิบาล 3 ก่อนที่จะขยายเป็น 1,200 ไร่ ในระยะต่อมา ซึ่งทำให้สัมมากรขึ้นแท่นผู้บุกเบิกอสังหาริมทรัพย์ในละแวกดังกล่าว
3 กุมภาพันธ์ 2537 บริษัทจดทะเบียนในนามสัมมากรเติบโตและแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด และเน้นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในลักษณะของหมู่บ้านจัดสรร พร้อมทั้งการให้บริการบำรุงรักษาโครงการภายหลังการขาย ภายใต้สัญลักษณ์ “บ้านสัมมากร” อีกทั้งยังขยายขอบเขตออกไปทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทั้งมีนบุรี รังสิต ราชพฤกษ์ และนครอินทร์
โดยโครงการในระยะ 30 ปีแรกประกอบด้วย โครงการสัมมากร บางกะปิ ถนนรามคำแหง (สุขาภิบาล 3) เนื้อที่โครงการ 1,122-2-85 ไร่ จำนวน 3,356 ยูนิต, โครงการสัมมากร มีนบุรี 1 เนื้อที่โครงการ 145-1-09 ไร่ จำนวน 410 ยูนิต, โครงการสัมมากร มีนบุรี 2 เนื้อที่โครงการ 61-2-37 ไร่ จำนวน 284 ยูนิต, โครงการสัมมากร นิมิตใหม่ เนื้อที่โครงการ 154-3-89 ไร่ จำนวน 602 ยูนิต, โครงการสัมมากร รังสิต คลอง 2 เนื้อที่โครงการ 82-2-00 ไร่ จำนวน 391 ยูนิต, โครงการสัมมากร ราชพฤกษ์ เนื้อที่โครงการ 67-2-51 ไร่ จำนวน 294 ยูนิต เป็นต้น
ปัจจุบันสัมมากรมีผู้ถือหุ้นหลักคือบริษัท อาร์พีซีจี จำกัด (มหาชน) ของตระกูลเจนธรรมนุกูล ที่ถือครองหุ้นจำนวน 309,698,707 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 48.25 และ น.ส. พิมอุมา เจนธรรมนุกูล ถือหุ้นจำนวน 25,261,656 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 3.94 อีกทั้งยังมีทายาทเจนธรรมนุกูล อย่าง “ณพน เจนธรรมนุกูล” เป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริษัท โดยนั่งในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) อีกด้วย
ที่ผ่านมาสัมมากรดำเนินงานด้วยนโยบายที่ค่อนข้าง Conservative และไม่ได้เน้นการทำการตลาดมากนัก จึงมีการเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยมีคุณภาพของโปรดักส์อย่างบ้านและทำเลเป็นจุดขาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าชื่อสัมมากรมักมาพร้อมกับภาพจำของความเก่าแก่เช่นกัน
ภาพของสัมมากรเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อทายาทเจนธรรมนุกูลอย่าง “ณพน” เข้ามาบริหารอย่างเต็มตัว โดยมีการปรับองค์กรให้ทันสมัย ขยายพอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯ สู่การจับตลาดบ้านไฮเอนด์ โฮมออฟฟิศ และคอนโดมิเนียม มีการแบ่งเซกเมนต์ของโปรดักส์และแตกแบรนด์เพิ่มเติม จากเดิมที่ใช้แบรนด์ “สัมมากร” เพียงอย่างเดียว อีกทั้งยังเดินหน้าทำการตลาดโดยเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น เพื่อให้สัมมากรมีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดอสังหาริมทรัพย์เมืองไทยที่กำลังแข่งกันอย่างดุเดือดในทุกขณะ
ปี 2565 สัมมากรมีการเปิดตัวแบรนด์บ้านเดี่ยวใหม่ เพิ่มอีก 2 แบรนด์ ได้แก่ แบรนด์มิตติ (Mitti) และอนาพนา (Anapana) และทาวน์โฮม 2-3 ชั้น ภายใต้ชื่อแบรนด์ “สัมมากร อเวนิว” ซึ่งเน้นทำเลในเขตชุมชนใกล้กับสถานที่อำนวยความสะดวกและแหล่งคมนาคม
นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่อยู่อาศัยแนวสูงหรือคอนโดมิเนียม ภายใต้ชื่อแบรนด์ “สัมมากร S9” ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า แหล่งการค้า และย่านธุรกิจแห่งใหม่ โครงการโฮมออฟฟิศ ภายใต้ชื่อแบรนด์ “ออฟฟิศ พาร์ค” และโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบกลุ่ม Super Luxury ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ภายใต้ชื่อแบรนด์ “Providence Lane” และโครงการใหม่ล่าสุด Park Heritage ที่เปิดตัวไปเมื่อปลายปี 2565 ที่ผ่านมา
นอกจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายแล้ว สัมมากรยังได้ขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเภทให้เช่า โดยพัฒนาศูนย์การค้าชุมชน ภายใต้ชื่อ ศูนย์การค้าสัมมากรเพลส (Sammakorn Place) ซึ่งมีที่ตั้งอยู่บนถนนรังสิตคลอง 2 ถนนรามคำแหง และถนนราชพฤกษ์ และยังมีธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) ที่อยู่ภายใต้บริษัท เบรน เว็ค จำกัด (BW) อีกด้วย
ที่น่าสนใจ คือความเคลื่อนไหวด้านการตลาด ที่ถือว่าโดดเด่นและแตกต่างจากความเป็นสัมมากรในอดีตเป็นอย่างมาก มีการใช้เครื่องมือการตลาดที่เข้าถึงคนรุ่นใหม่มากขึ้น ทั้งภาพยนตร์โฆษณาที่กลายเป็นกระแสไวรัลอย่าง “สัมมากรขายบ้าน” โฆษณา base on true story แนวใหม่ที่กลั่นมาจากใจพนักงานสัมมากร และเพนพอยต์ทั้งเรื่องชื่อและภาพจำเก่าๆ เพื่อสื่อสารว่าสัมมากรเป็นบริษัทที่ขายบ้านไม่ได้เก็บภาษีแม้ชื่อจะคล้ายกัน และเพื่อลบภาพจำเดิมๆ ของสัมมากร อีกทั้งยังมี Branding Video ที่ทยอยออกมาสร้างการรับรู้ในแบรนด์ออกมาอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
“10 ปีที่ผ่านมาเราสื่อสารเรื่องนี้มากขึ้น แม้แบรนด์จะเป็นที่รู้จักกันดีในรุ่นคุณพ่อคุณแม่ แต่ภาพลักษณ์ไม่ได้เก่า แบบบ้านรุ่นใหม่ก็เป็นแนวโมเดิร์น เพราะเราออกแบบบ้านบนพื้นฐานในการทำความเข้าใจกับคนหลายยุคหลายสมัย ไม่ได้ออกแบบเฉพาะเจนฯ เก่าเท่านั้น แต่เจนฯ ใหม่ๆ เราก็คำนึงถึง” ณพน เจนธรรมนุกูล เปิดเผย
สำหรับกลยุทธ์การตลาดปี 2567 ณพนเปิดเผยว่าจะพยายามจับกลุ่มผู้บริโภคที่อายุเด็กลงมากขึ้น เพราะต้องการสร้างการจดจำในแบรนด์แม้จะยังไม่ใช่วัยที่ตัดสินใจซื้อบ้าน แต่การสร้างการจดจำว่าสัมมากรมีผลิตภัณฑ์อะไรบ้าง ภาพลักษณ์เป็นอย่างไร และที่สำคัญสัมมากรเป็นแบรนด์ที่เฟรนด์ลี่กับคนทุกเจนฯ ไม่เฉพาะวัยผู้ใหญ่ และเมื่อถึงวันที่เขาอยากจะซื้อบ้าน ชื่อของสัมมากรจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกนั้น
ล่าสุดสัมมากรเปิดศักราชใหม่เดินหน้าเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ด้วยการนำนิทรรศการแบบอินเตอร์แอ็กทีฟ ‘Home Fill-in Interactive Exhibition’ บุกศูนย์กลางของวัยรุ่นอย่างสยามเซ็นเตอร์ เพื่อเชิญชวนให้คนรุ่นใหม่ได้เข้ามาลองสัมผัสประสบการณ์ “บ้านที่หลับสบาย” อันเป็นแนวคิดในการสร้างบ้านของสัมมากร ผ่านพื้นที่จัดแสดงที่เหมือนบ้านทั้ง 4 โซน ได้แก่ “โต๊ะอาหาร” แทนพื้นที่แห่งการรับฟังและแบ่งปัน, “ห้องน้ำ” แทนพื้นที่แห่งการแสดงตัวตน, “ห้องนั่งเล่น” แทนพื้นที่แห่งความสุขและความสบายใจ และสุดท้ายพื้นที่เติมเต็มความรู้สึกผ่านการเขียนข้อความ และในปีนี้จะมีแคมเปญการตลาดตลอดจน Branding Video ออกมาอีกอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการต่อยอดความสำเร็จจากปีที่ผ่านมา
ถ้ามาดูด้านผลประกอบการก็พบว่า สัมมากรยังสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยเติบโตขึ้นปีละ 10% โดยโครงสร้างรายได้ของบริษัทฯ ประกอบด้วย รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก ซึ่งในปี 2565 มีสัดส่วนร้อยละ 90.10 ของรายได้รวม นอกจากนั้นเป็นรายได้จากการให้เช่า รายได้จากการบริการ รายได้จากการขายอาหารและเบเกอรี่ และรายได้อื่นๆ
โดยรายได้รวมของปี 2562 อยู่ที่ 2,302.45 ล้านบาท, ปี 2563 รายได้รวม 1,701.50 ล้านบาท, ปี 2564 รายได้รวม 1,441.93 ล้านบาท, ปี 2565 รายได้รวม 2,404.56 ล้านบาท และ 9 เดือนแรกของปี 2566 รายได้รวมอยู่ที่ 1,418.59 ล้านบาท ซึ่งณพนเปิดเผยว่า ปี 2566 เป็นปีที่ยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และสำหรับปี 2567 นี้ เขาตั้งเป้าเติบโตที่ 20% โดยมีแผนเปิดตัว 2 โครงการใหม่ และในปีต่อๆ ไปจะเปิดโครงการเฉลี่ย 4-5 โครงการต่อปี
ซึ่งนับว่าเป็นความเคลื่อนไหวที่น่าจับตาไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับ “สัมมากร” บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่คู่คนไทยมานานถึง 54 ปีเต็ม.