ย่านประตูน้ำเป็นอีกหนึ่งแลนมาร์กที่เป็นที่รู้จักของทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ในฐานะศูนย์รวมเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายทั้งแบบขายส่งและขายปลีกในราคาที่สุดแสนจะเป็นมิตร แม้ที่ผ่านมาจะมีการปรับเปลี่ยนทั้งรูปแบบและผู้ประกอบการที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามบริบทของเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปก็ตาม
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยที่ยังยืนหยัดอยู่ได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของ “ห้างกรุงทองพลาซา” ศูนย์รวมเสื้อผ้าพลัสไซซ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ภายใต้การนำของผู้บริหารคนเก่งอย่าง “อัญชลี ตันติวงษากิจ” ที่ยืนระยะมาได้นานถึง 23 ปีเต็ม รวมอยู่ด้วยเช่นกัน
“ก่อนที่จะมาทำห้างกรุงทองพลาซา ทางครอบครัวทำธุรกิจนำเข้านาฬิกาจากสวิตเซอร์แลนด์และญี่ปุ่นอย่างแบรนด์ titoni และ Orient มาก่อนในชื่อบริษัท สหกรุงทอง เทรดดิ้ง จำกัด แต่เราเล็งเห็นว่าที่ตรงนี้มันเป็นฮับของประตูน้ำที่เด่นเรื่องธุรกิจเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เลยตัดสินใจย้ายกรุงทองที่เป็นบริษัทนำเข้านาฬิกาไปอยู่ตรงซอยเพชรบุรี 15 แล้วตรงนี้เราก็ซื้อที่ด้านหลังเพิ่ม ตอนนั้นซื้อประมาณ 300 ล้านบาท ช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งพอดี แล้วก่อสร้างอาคารอีกประมาณ 150 ล้าน รวมๆ เกือบ 500 ล้าน เพื่อสร้างห้างกรุงทองพลาซาขึ้น” อัญชลีเล่าถึงที่มาในการเข้าสู่ธุรกิจเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายในย่านประตูน้ำ
ห้างกรุงทองพลาซาเปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 16 มกราคม 2544 โดยเริ่มจากการเป็นศูนย์รวมเครื่องแต่งกายที่เน้นขายปลีกเป็นหลัก ก่อนจะพัฒนามาสู่ค้าส่งในเวลาต่อมา ซึ่งอัญชลีเล่าว่า ณ เวลานั้น ประตูน้ำมีห้างสรรพสินค้าเพียง 3 แห่งเท่านั้น คือ ใบหยก, ซิตี้ คอมเพล็กซ์ และห้างกรุงทองพลาซา แต่เมื่อธุรกิจค้าส่งเครื่องแต่งกายเติบโต ทำให้ผู้ประกอบการรายอื่นเกิดขึ้นตามมา และนั่นเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้อัญชลีหันมาโฟกัสที่เสื้อผ้าพลัสไซซ์ (Plus Size) เพื่อสร้างความต่างและจุดขายใหม่ให้กับห้าง
“กรุงทองพลาซาเริ่มจับตลาดเสื้อผ้าพลัสไซซ์ตั้งแต่ปี 2550 จากเดิมที่ประตูน้ำมีห้างแค่ 3 ห้าง พอเพิ่มเป็น 8-9 ห้าง เราต้องสร้างจุดต่าง ทำยังไงให้ลูกค้ามาซื้อสินค้าที่ห้างของเรา ตลาดเสื้อผ้าปกติคนทำเฉพาะไซซ์ S-XL แต่กรุงทองพลาซาค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาทีละไซซ์จากความต้องการของลูกค้า จนตอนนี้มีถึง 6XL หรือรอบอก 60 นิ้ว เพราะดีไซเนอร์ที่ดีที่สุดคือลูกค้า เราฟังเสียงลูกค้าเสมอและมีช่องทางสื่อสารทั้งกับลูกค้าที่มาซื้อสินค้าและลูกค้าที่เป็นร้านค้าเช่าพื้นที่ในตึก นำไปสู่การพัฒนาสินค้าได้ตรงตามที่ลูกค้าต้องการ”
โดยห้างกรุงทองพลาซาไม่มีโรงงานผลิตเป็นของตนเอง แต่เป็นการเปิดพื้นที่ให้ร้านค้าต่างๆ มาเช่า ซึ่งมีการคัดเลือกร้านค้าที่มีคุณภาพและมีประสบการณ์ รวมไปถึงร้านค้าที่มีโรงงานผลิตเป็นของตัวเอง เพื่อให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพและมีดีไซน์ที่ดึงจุดเด่นของผู้สวมใส่ออกมา อีกทั้งยังมีการเปลี่ยนสินค้าทุกสัปดาห์ ทำให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าที่มีคุณภาพดีในราคาที่ย่อมเยาและมีสินค้าแปลกใหม่ให้เลือกอยู่เสมอ ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของทางห้าง
ประกอบกับสังคมที่เริ่มเปิดกว้างและยอมรับความแตกต่างเรื่อง Beauty Standard มากขึ้น ต่างจากในยุคก่อนที่สาวพลัสไซซ์มักจะเลือกใส่เสื้อผ้าเรียบๆ ตัวใหญ่ๆ เพื่อใช้ในการปกปิดรูปร่าง ทำให้ปัจจุบันสาวพลัสไซซ์หลายคนกล้าและมั่นใจในการแต่งตัวมากขึ้น และโลกแฟชั่นของเสื้อผ้าพลัสไซซ์ก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ
นั่นทำให้การเข้ามาจับตลาดเสื้อผ้าพลัสไซซ์ของห้างกรุงทองพลาซาประสบความสำเร็จและเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จนก้าวขึ้นสู่การเป็นห้างค้าส่งเสื้อผ้าพลัสไซซ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ด้วยจำนวนร้านค้ามากถึง 400 ร้านค้า โดยแบ่งเป็นร้านค้าเสื้อผ้าพลัสไซซ์มากกว่า 70% ส่วนที่เหลือเป็นเสื้อผ้าไซซ์เล็ก เครื่องประดับ อุปกรณ์การแต่งตัวต่างๆ เช่น เข็มขัด รองเท้า วิกผม กระเป๋า เป็นต้น สำหรับกลุ่มสินค้าที่ได้รับความนิยมยังเป็นกลุ่มสินค้าแฟชั่นของสาวพลัสไซซ์แนวมินิมอลที่สามารถใส่ได้ในทุกวัน รองลงมาเป็นแฟชั่นชุดทำงานและออกงานต่างๆ ตามลำดับ
โดยภาพรวมธุรกิจในปี 2566 ที่ผ่านมา ห้างกรุงทองพลาซามีอัตราการเช่าพื้นที่เต็ม 100% ส่วนปี 2567 มีการจองและทำสัญญาเต็ม 100% แล้วเช่นกัน สำหรับกลุ่มลูกค้าแบ่งเป็นคนไทย 70% และต่างชาติ 30% ส่วนมากเป็นประเทศในโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ซึ่งสัดส่วนลูกค้าเพศหญิงยังมีสัดส่วนมากที่สุด รองลงมาเป็น LGBTQ โดยในวันธรรมดามีลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาใช้บริการเฉลี่ย 10,000 คนต่อวัน ส่วนช่วงวันหยุดพุ่งสูงถึง 20,000 คนต่อวัน เพิ่มขึ้นกว่าปี 2565 ถึง 50% และยอดการจับจ่ายแต่ละครั้งของลูกค้าปลีกอยู่ที่ 2,000 – 3,000 บาทต่อครั้ง และลูกค้าส่งอยู่ที่ 10,000 บาทต่อครั้ง ปีที่ผ่านมาสร้างยอดขายได้ถึง 300 ล้านบาทสำหรับเสื้อผ้าพลัสไซซ์ และยอดขายรวมอยู่ที่ 500 ล้านบาท
“เราทำการสำรวจตลาดต่างชาติพบว่า ต่างชาติเองเขาก็มีคอมมูนิตี้ของสาวพลัสไซซ์ของเขาอยู่ เวลามาเมืองไทยก็มาซื้อเสื้อผ้าที่กรุงทองพลาซา แล้วก็เอาไปขายในประเทศเขา แต่เดิมอาจมาซื้อแล้วเอากลับไปขาย ต้องมีการสต๊อกของ แต่เดี๋ยวนี้เขามาไลฟ์สดหน้าร้านเลย ทำให้ไม่ต้องสต๊อกของ รู้ยอดที่ชัดเจน และขายได้เร็ว บางคนมาซื้อทุกวันเพราะห้างเราเปลี่ยนสินค้าทุกสัปดาห์ ทำให้เราเติบโตอย่างก้าวกระโดด”
“อีกหนึ่งความสำเร็จของเรามาจากการบอกต่อ ลูกค้ามาซื้อแล้วประทับใจทั้งคุณภาพ ราคา และความหลากหลาย เขาก็เอาไปบอกต่อในคอมมูนิตี้ของเขา ทำให้เกิดการซื้อซ้ำและเพิ่มขึ้นของลูกค้าใหม่ๆ จนวันนี้ห้างกรุงทองพลาซากลายเป็นที่รู้จักของสาวพลัสไซซ์ทั้งในและต่างประเทศ”
ปีที่ 24 ไม่ใช่แค่ในประเทศ แต่มุ่งสู่การเป็น Top of Mind ครองใจสาวพลัสไซซ์ทั่วเอเชีย
หลังจากสร้างความสำเร็จมาแล้ว 23 ปีเต็ม หมุดหมายต่อไปที่อัญชลีวางไว้คือการยกระดับแฟชั่นพลัสไซซ์ และทำให้ห้างกรุงทองพลาซาเป็น Top of Mind ครองใจสาวพลัสไซซ์ทั่วเอเชีย ตั้งเป้าปี 2567 เพิ่มยอดผู้ใช้บริการให้เติบโตขึ้นอีก 30% โดยมีแผนเจาะฐานลูกค้าฝั่งยุโรปเพิ่มเติม คาดเม็ดเงินสะพัดกว่า 500 ล้านบาท ผ่านการทำแคมเปญการตลาดแบบ 360 องศา เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ
ซึ่งกลยุทธ์ที่อัญชลีวางไว้คือการทำ Content Marketing สร้างคอนเทนต์ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ทั้งคอนเทนต์จากทางห้างเอง และจากผู้ใช้บริการจริง รวมถึงรีวิวจากเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ ผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ นอกจากนี้ ยังมีแผนสร้างสตูดิโอสำหรับไลฟ์ขายของไว้คอยบริการลูกค้าที่มาซื้อสินค้าในห้าง เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า และกระตุ้นยอดขายให้กับทางห้างฯ
อีกทั้งยังมีแผนพัฒนาสินค้าให้หลากหลายมากขึ้น จากเดิมที่มีเสื้อผ้าขนาดตั้งแต่ XS – 6XL นั้น ในอนาคตจะมีการปรับไซซ์ให้ถึง 8XL เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าเพิ่มเติม รวมถึงโปรโมชันส่งเสริมการขายต่างๆ ในการที่จะทำให้ลูกค้าพึงพอใจมากที่สุด เพื่อให้เกิดการซื้อซ้ำและบอกต่อ
นอกจากนี้ ยังเตรียมจัดกิจกรรมการประกวดออกแบบเสื้อผ้าพลัสไซซ์ในชื่อ “Krungthong Plus Size Fashion Revolution” เพื่อเป็นการเปิดเวทีแสดงศักยภาพของนักออกแบบไทย และเป็นอีกหนึ่งแคมเปญที่จะเข้ามาสร้างสีสันให้กับแฟชั่นพลัสไซซ์ ไม่เพียงเท่านั้นห้างกรุงทองพลาซายังทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท ปรับโฉมตัวห้างฯ ครั้งใหญ่ให้ดูทันสมัยขึ้น
“ภายในตัวห้างเรารีโนเวตอยู่เรื่อยๆ แต่ด้านนอกยังเหมือนเดิมกับเมื่อ 23 ปีที่แล้ว ปีนี้ห้างกรุงทองพลาซาจะปรับโฉมครั้งใหญ่ เพื่อให้ดูทันสมัยและเข้ากับสินค้ามากขึ้น คาดว่าจะแล้วเสร็จไม่เกินไตรมาส 4 และแน่นอนว่าทั้งหมดที่ทำในปีนี้ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กรุงทองพลาซาขึ้นเป็น Top of Mind ครองใจสาวพลัสไซซ์ทั่วเอเชีย และขับเคลื่อนยอดขายของเราในอนาคต” อัญชลี ตันติวงษากิจ กล่าวทิ้งท้าย.