วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 21, 2024
Home > Cover Story > 3 ทศวรรษ โรงพยาบาลบางมด ผู้บุกเบิกศัลยกรรมความงามของไทย

3 ทศวรรษ โรงพยาบาลบางมด ผู้บุกเบิกศัลยกรรมความงามของไทย

หากพูดถึงศัลยกรรมความงามแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่า ณ ปัจจุบันการทำศัลยกรรมเป็นที่ยอมรับและได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้จากคลินิกและโรงพยาบาลด้านความงามที่ผุดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แต่ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว เรื่องของศัลยกรรมความงามยังไม่เปิดกว้างนักและถือว่ายังเป็นช่วงแห่งการบุกเบิก ซึ่งหนึ่งในผู้บุกเบิกที่สำคัญและไม่กล่าวถึงไม่ได้คือ “โรงพยาบาลบางมด” โรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกบนถนนพระราม 2 ที่ไม่เพียงมีชื่อเสียงด้านการรักษาพยาบาล แต่ยังสร้างชื่อด้านศัลยกรรมความงามมาอย่างยาวนานถึง 3 ทศวรรษ

โรงพยาบาลบางมดเป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกในย่านถนนพระราม 2 มีจุดเริ่มต้นมาจากการเป็นคลินิกขนาดเล็ก ก่อนที่จะขยายเป็นโพลีคลินิก จนคนไข้เพิ่มขึ้นจึงมีการขยายเป็นโรงพยาบาลขนาด 50 เตียงเมื่อปี 2526 กระทั่งก่อตั้งเป็นโรงพยาบาลบางมดขนาด 100 เตียงขึ้นเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2531 และเพื่อรองรับความต้องการของผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในปี พ.ศ. 2538 โรงพยาบาลบางมดจึงได้ขยายขนาดสู่โรงพยาบาลขนาด 400 เตียงในที่สุด

สมัยแรกเริ่มโรงพยาบาลยังไม่มีแผนกศัลยกรรม แต่ในยุคนั้นถนนพระราม 2 เป็นถนนที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย มีเคสที่ต้องทำศัลยกรรมอันเนื่องมาจากอุบัติเหตุเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะการผ่าตัดใบหน้า แต่ในสมัยนั้นการทำศัลยกรรมส่วนใหญ่เป็นเพื่อการรักษา ส่วนศัลยกรรมความงามยังอยู่ในวงจำกัด

ซึ่งนั่นเป็นการจุดประกายให้กับนายแพทย์สุรสิทธิ์ อัศดามงคล ประธานกรรมการบริหาร และผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลบางมด ให้ตัดสินใจบินไปศึกษาต่อเฉพาะทางเพิ่มเติมด้านศัลยกรรมที่สหรัฐอเมริกา เพื่อกลับมาเปิดศูนย์ศัลยกรรมความงามขึ้นที่โรงพยาบาลบางมดอย่างเป็นทางการ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาให้คนไข้ที่รอรับการรักษาเป็นจำนวนมาก และนับว่า นพ. สุรสิทธิ์ เป็นผู้ที่นำ “ศัลยกรรมความงาม” เข้ามาสู่ประเทศไทยเป็นคนแรกๆ

“แต่เดิมถนนเส้นนี้ไม่มีโรงพยาบาลเลย เรามาตั้งเป็นโรงพยาบาลแรก ซึ่งถนนธนบุรีปากท่อเป็นถนนที่มีอุบัติเหตุมากที่สุด ได้ทำเคสอุบัติเหตุเยอะมาก สมัยก่อนเรื่องการทำศัลยกรรมยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก บางเคสคนไข้กินยาเกินขนาดมาเพราะเครียดเนื่องจากผ่าตัดทำตา 2 ชั้นมาแล้วไม่เท่ากัน เราก็เริ่มเก็บข้อมูลนี้ไว้ และคิดว่าควรไปเรียนต่อเฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่งเพื่อที่จะได้ช่วยคนไข้ที่มีอยู่ให้เขากลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดี ผมไปเรียนจบที่อเมริกามาคนแรกๆ และเอาความรู้นั้นมาใช้ในเมืองไทย” นพ.สุรสิทธิ์ แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่งและเสริมสร้างใบหน้า เล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นของศูนย์ศัลยกรรมความงาม รพ. บางมด อีกหนึ่งบริการที่ควบคู่ไปกับการรักษาพยาบาลอันเป็นธุรกิจหลักของโรงพยาบาล

ศูนย์ศัลยกรรมความงามเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการเติบโตของ รพ.บางมด และได้รับความนิยมมากขึ้นตามลำดับ เพราะมีจุดแข็งด้านเทคนิคการผ่าตัดเฉพาะของ รพ. ที่มีการคิดค้นและพัฒนาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรม ที่เรียกว่า “เทคนิคบางมด” ที่มีจุดเด่นคือ “แผลเล็ก เจ็บน้อย หายเร็ว และดูเป็นธรรมชาติ” ซึ่งเป็นสิ่งที่คนไข้ต้องการ

อีกทั้งการทำศัลยกรรมในปัจจุบันของ รพ. บางมด ไม่จำเป็นต้องทำทั้งหมด แต่สามารถเลือกทำได้ในส่วนที่มีปัญหาอย่างแท้จริง โดยแพทย์จะทำการวิเคราะห์อย่างลงลึกก่อนจะทำการผ่าตัด ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด ซึ่งปัจจัยต่างๆ เหล่านี้สร้างความพอใจและความเชื่อมั่นให้กับคนไข้จนเกิดการบอกต่อ มีผู้มีชื่อเสียงในทุกวงการทั้งดารา เซเลบริตี้ มาใช้บริการเป็นจำนวนมาก สร้างการเติบโตและชื่อเสียงให้กับศูนย์ศัลยกรรมความงาม รพ. บางมด ได้เป็นอย่างดี

จากศูนย์ศัลยกรรมความงาม สู่โรงพยาบาลศัลยกรรมแบบครบวงจรระดับ Ultra-Luxury

นอกจาก นพ.สุรสิทธิ์ ที่เป็นผู้บุกเบิก รวมถึงทีมแพทย์และบุคลากรที่ทำให้ศูนย์ศัลยกรรมความงามเติบโตอย่างรวดเร็วแล้ว นพ.สุรสิทธิ์ยังมีบุตรชายอีก 2 คนที่เป็นดั่งลูกไม้ที่เรียกได้ว่าหล่นใต้ต้น และเป็นกำลังสำคัญในการสานต่อสิ่งที่ผู้เป็นพ่อทำ อีกทั้งยังต่อยอดการเติบโตให้ไปไกลกว่าเดิมอีกด้วย

“ลูกชายคนโตเขาเรียนตามพ่อ คนเล็กเรียนบริหารและศาสตร์ชะลอวัย เรียกว่าได้ลูกๆ มาช่วยทั้งบริหาร ทั้งการรักษา ถือว่าได้ส่งไม้ต่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมภูมิใจนะ เหมือนเราปลูกต้นไม้ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย รดน้ำ ตอนนี้มันออกดอกออกผลแล้ว สิ่งที่พยายามสอนลูกคือ ให้เขายึดมั่นในคุณธรรมและจริยธรรมทางการแพทย์ ซื่อสัตย์ต่อคนไข้ บอกความจริง ข้อดีข้อเสียให้คนไข้รู้ ถ้าเราบิดเบี้ยวจากคุณธรรมและความจริง มันไม่สามารถอยู่ในระยะยาวได้ นั่นทำให้คนไข้เชื่อใจโรงพยาบาลบางมดมาตลอด 35 ปี”

สำหรับบุตรชายคนโตอย่างนายแพทย์ธนัญชัย อัศดามงคล เลือกเรียนในสาขาศัลยกรรมตกแต่งที่ต้องเรียนต่อถึง 14 ปี ปัจจุบันเป็นแพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง และผู้อำนวยการศูนย์ศัลยกรรมความงาม รพ. บางมด ในขณะที่นายแพทย์เทวเดช อัศดามงคล เลือกเรียนทางด้านการบริหารและศาสตร์ชะลอวัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร รพ. บางมด

“คุณพ่อเป็นไอดอลของพวกผม เห็นคุณพ่อทำการผ่าตัดแล้วคนไข้มีความสุขมากขึ้น ใช้ชีวิตได้ดีขึ้น หลายๆ เคสมันเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาได้อย่างไม่น่าเชื่อ เลยเป็นแรงบันดาลใจ ถ้ามีโอกาสเราก็อยากเป็นหมอศัลยกรรมความงามเหมือนพ่อ” นพ.ธนัญชัย กล่าว

ซึ่ง นพ.ธนัญชัย ได้ฉายภาพแวดวงศัลยกรรมความงามเพิ่มเติมว่า ตลาดศัลยกรรมความงามมีแนวโน้มเติบโตอยู่ที่ 10-15% มีมูลค่าตลาดประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาท ในแต่ละปีมีผู้เล่นทั้งในระดับคลินิกและโรงพยาบาลเกิดขึ้นในตลาดอย่างต่อเนื่อง

ในส่วนของศูนย์ศัลยกรรม รพ. บางมด มีชาวต่างชาติเข้ามาทำศัลยกรรมมากขึ้นเรื่อยๆ เติบโตถึง 10-15% ต่อปี สัดส่วนคนไข้ไทยและต่างชาติเมื่อ 5-10 ปีที่แล้วอยู่ที่ไทย 80% ต่างชาติ 20% แต่ปัจจุบันคนไทย 60% ต่างชาติ 40% และคนไข้ที่เข้ามามีเกือบทุกชาติ โดยเฉพาะจีน ยุโรป เยอรมัน ออสเตรเลีย และอเมริกา

ที่ผ่านมา รพ.บางมด มีผู้เข้ารับบริการศัลยกรรมความงามมากกว่า 3,800 รายต่อปี เนื่องจากมีเทคโนโลยีในการผ่าตัดที่ทัดเทียมกับนานาชาติ และส่วนมากคนไข้ต่างชาติจะมาทำศัลยกรรมทั้งตัว มูลค่ารวมหลักล้านบาท ส่วน Top 5 ที่คนไข้มาทำมากที่สุดคือ ศัลยกรรมรอบดวงตา, จมูก, เสริมหน้าอก, ดึงหน้า และดูด/ฉีดไขมัน และเป็น 5 อันดับที่ทั่วโลกทำมากที่สุดเช่นกัน

สำหรับ รพ.บางมด มีศัลยกรรมที่โดดเด่นและสร้างชื่อเสียงให้กับ รพ. เป็นอย่างมากคือ ศัลยกรรมดึงหน้าและศัลยกรรมเสริมหน้าอก ซึ่ง รพ.บางมด มีเทคนิคเฉพาะของตนเอง และเป็นเทคนิคที่ได้รับการยอมรับและถูกพูดถึงบนเวทีสัมมนาด้านศัลยกรรมความงามระดับนานาชาติอยู่บ่อยครั้ง

เทคนิคการดึงหน้า (Modern facelift) นพ.ธนัญชัย  อธิบายเสริมว่า การดึงหน้าสมัยก่อนจะดึงเฉพาะชั้นอย่างชั้นไขมันและผิวหนัง แต่ผิวหน้าเรามีถึง 5 ชั้น นั่นทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ธรรมชาติ แต่ รพ.บางมด ใช้เทคนิคดึงในชั้นกล้ามเนื้อระดับ SMAS ที่ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น สวยขึ้น ที่สำคัญคือ “แผลเล็ก เจ็บน้อย หายเร็ว ดูเป็นธรรมชาติ”

และในปีนี้ รพ.บางมด ยังได้พัฒนาเทคนิคดึงหน้าแบบใหม่ “Modern facelift 2023” โดยพัฒนามาจากการศัลยกรรมดึงหน้าแบบเดิมจากคนไข้หลายหมื่นรายของศูนย์ศัลยกรรมความงาม แต่มีการเพิ่มเทคนิคการเย็บที่ชั้น SMAS มากขึ้นถึง 3 เทคนิค (Triple SMAS techniques) ทำให้ผลลัพธ์ของการดึงหน้าดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น มีการปรับตามโครงสร้างร่างกายและปรับตามความหย่อนคล้อยของแต่ละบุคคลได้มากยิ่งขึ้นและผลลัพธ์ยาวนานขึ้น

อีกทั้งยังมีการเสริมหน้าอกเทคนิคใหม่ ชื่อว่า Modern Breast 2023 เป็นการเสริมหน้าอกแบบเฉพาะด้วยเทคนิค Triple Plane ร่วมกับเทคนิคส่องกล้อง (Endoscopic Assisted) ทำให้การเสริมหน้าอกมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น

ล่าสุดโรงพยาบาลบางมดฉลองครบรอบ 35 ปี ด้วยการเดินหน้าขยายธุรกิจศัลยกรรมความงาม เพื่อรองรับจำนวนผู้มาใช้บริการที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด เตรียมพร้อมสู่การเป็นโรงพยาบาลศัลยกรรมแบบครบวงจรระดับ Ultra-Luxury ภายใต้ชื่อ “Bangmod Aesthetic & Wellness Hospital” ด้วยงบลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จและพร้อมเปิดให้บริการได้ภายในปี 2568 ซึ่งจะสามารถรองรับผู้มาใช้บริการได้มากขึ้น 3-4 เท่าตัว

สำหรับความพิเศษของ “Bangmod Aesthetic & Wellness Hospital” อยู่ที่การประกาศตัวเป็นศัลยกรรมความงามหลักล้านที่แรกในประเทศไทย ที่ศัลยกรรมได้ทั้งตัวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า มีการแนะนำตรวจวิเคราะห์ก่อนผ่าตัดโดยทีมแพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรม สถานที่และอุปกรณ์ที่ทันสมัย นำเข้าเครื่องมือและเทคโนโลยีการรักษามาตรฐานสูงจากต่างประเทศ เน้นการบริการระดับพรีเมียม เจาะกลุ่มลูกค้า A และ A+ และที่สำคัญคือมีบริการครบถ้วนทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ศัลยกรรมความงาม (Plastic Surgery), ศูนย์ดูแลผิวหนัง (Skin Center) และศาสตร์ชะลอวัย (Anti-Ageing)

นพ.ธนัญชัย เปิดเผยต่อว่า รพ.บางมด เป็น รพ.ด้านศัลยกรรมแห่งเดียวที่ไม่มีระบบเอเจนซี ซึ่งถือว่าเป็นจุดแข็งของ รพ. เพราะต้องการให้คนไข้เข้ามาหาโดยตรงและได้มาปรึกษาหมอให้ละเอียดก่อนตัดสินใจทำ

“ผู้ประกอบการใหม่ๆ เกิดขึ้นเยอะ เราไม่ได้แข่งที่ราคา แต่แข่งกันที่เทคนิค เทคโนโลยี และประสบการณ์ ศัลยกรรมตกแต่งมันเป็นมากกว่าการเพิ่มเติมความสวยงาม เพราะมันมี hidden value ซ่อนอยู่ จริงอยู่ที่ทำแล้วทำให้รูปลักษณ์ภายนอกดูดี ซึ่งนั่นย่อมส่งผลให้เขามีความเชื่อมั่นและมั่นใจในการใช้ชีวิตมากขึ้น การทำศัลยกรรม ถ้าเราทำได้ดี มันจะตอบโจทย์คนไข้ได้อีกเยอะ” นพ.ธนัญชัย ทิ้งท้าย

ทั้งนี้ ในปี 2565 รพ.บางมด สร้างรายได้รวมกว่า 950 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนบริการทางการแพทย์ของ รพ.บางมด 450 ล้านบาท และบริการศัลยกรรมความงาม 500 ล้านบาท สำหรับในปี 2566 คาดว่าจะมีรายได้รวมไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากบริการทางการแพทย์ 500 ล้านบาท และรายได้จากบริการศัลยกรรมความงาม 600-700 ล้านบาท

หลังจากโรงพยาบาลความงามแห่งใหม่แล้วเสร็จ คาดว่าจะสามารถผลักดันรายได้ของศัลยกรรมความงามได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ รพ.บางมด ยังมีแผนเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในอีก 3-4 ปีข้างหน้าอีกด้วย ท่ามกลางสภาพตลาดศัลยกรรมความงามที่แข่งขันกันอย่างดุเดือดเช่นนี้ ก้าวย่างใหม่ของ รพ.บางมด ที่เกิดขึ้นจึงน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว.