หลังสร้างรายได้รับการกลับมาของภาคการท่องเที่ยว ทะลุเป้าไปถึง 8.7 พันล้านบาท ในปี 2565 ที่ผ่านมา ล่าสุด “เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท” หรือ SHR เคลื่อนไหวอีกครั้งด้วยการประกาศแผนธุรกิจของปี 2566 พร้อมดันกลยุทธ์ “3P” เดินหน้าขยายพอร์ตธุรกิจและสร้างผลกำไร เพื่อครองตำแหน่งผู้ประกอบธุรกิจบริหารจัดการโรงแรมรายได้สูงสุดเป็นอันดับต้นของไทยอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้าโต 20% สร้างรายได้แตะหมื่นล้านบาท
บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR (S Hotels and Resorts Public Company) เป็นบริษัทเรือธงในการประกอบธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ตของบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือของบริษัท บุญรอด บริวเวอรี่ จำกัด ที่ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งเพื่อการพาณิชย์, อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัย, ธุรกิจโรงแรม และธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน
สำหรับ SHR เป็นโฮลดิ้ง คอมปานี ที่ประกอบธุรกิจบริหารจัดการโรงแรมและลงทุนในธุรกิจโรงแรมระดับนานาชาติ ข้อมูล ณ ปัจจุบันระบุว่า SHR มีรีสอร์ตและโรงแรมกระจายอยู่ใน 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย สหราชอาณาจักร สาธารณรัฐมอริเชียส สาธารณรัฐมัลดีฟส์ และสาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ รวมทั้งสิ้น 38 แห่ง ภายใต้แบรนด์ สันติบุรี, เนเบอร์, Outrigger, Castaway, Hard Rock, SAii, Holiday Inn, Mercure และล่าสุดที่จะเปิดปลายปีนี้คือ SO/Maldives โดยมีห้องพักทั้งหมด 4,552 ห้อง
ปี 2565 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีแห่งความสำเร็จในธุรกิจโรงแรมของ SHR อันสืบเนื่องมาจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกหลังมีการยกเลิกข้อจำกัดในการเดินทางระหว่างประเทศ ส่งผลให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวฟื้นตัว ประกอบกับกลยุทธ์ในการผลักดันธุรกิจและเครือข่ายช่องทางการจองห้องพักที่แข็งแกร่ง ทำให้ SHR เติบโตได้เต็มอัตรา และมีผลการดำเนินงานที่ขยายตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของโรงแรมในหลายประเทศ
อีกทั้งยังสามารถปรับค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืน หรือ ADR ในระดับที่สูงขึ้นกว่าช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 และเป็นระดับที่สูงที่สุดตั้งแต่เปิดให้บริการมา นอกจากนี้ ยังเสริมทัพด้วยการฟื้นตัวของโรงแรมในประเทศไทยที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 ส่งผลให้ SHR กวาดรายได้เกินกว่าเป้าหมายที่วางเอาไว้สู่ 8.7 พันล้านบาท ขึ้นแท่นผู้ประกอบธุรกิจบริหารจัดการโรงแรมของไทยที่ทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 2 ในปีที่ผ่านมา
มร.เดิร์ก เดอ คุยเปอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) ได้ตอกย้ำความสำเร็จในปีที่ผ่านมาว่า “หลังประเทศไทยเปิดประเทศเมื่อปีที่แล้ว รายได้ของเราทะลุเป้าหมายที่วางไว้สูงถึง 8.7 พันล้านบาท เป็นรายได้นิวไฮแม้จะไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่ในทุกพอร์ตโฟลิโอ เช่น โรงแรมในไทยที่เพิ่งกลับมาดำเนินการได้อย่างจริงจังในช่วงไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา แต่ก็บรรลุเป้าหมายได้ อัตราห้องพักเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นถึง 20% ทำรายได้สูงขึ้นถึง 93% เทียบปีต่อปี เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการโรงแรมอื่นๆ”
และแน่นอนว่าเมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย เครื่องยนต์ของธุรกิจท่องเที่ยวพร้อมกลับมาเดินเครื่องได้อีกครั้ง SHR จึงประกาศลุยธุรกิจโรงแรมอย่างเต็มกำลังด้วยเช่นกัน พร้อมตั้งเป้าทำรายได้ในปี 2566 พุ่งสูงถึง 10,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นราวๆ 20% จากปีก่อน และมุ่งเป็นผู้ประกอบการโรงแรมไทยที่ทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับสองของประเทศ
กลยุทธ์ที่จะผลักดันให้รายได้ของบริษัทฯ บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้นั้น SHR จะใช้จุดแข็งด้านความหลากหลายของพอร์ตโฟลิโอ (diversified portfolio) ที่มีโรงแรมและรีสอร์ตหลากหลายแบรนด์กระจายอยู่ในเมืองท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ เพื่อดึงดูดลูกค้าหลากหลายกลุ่มจากทั่วโลก
สำหรับปีนี้ SHR คาดว่าโรงแรมในประเทศไทยทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ โรงแรมสันติบุรี เกาะสมุย, ทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ, ทราย ลากูน่า ภูเก็ต และทราย เกาะสมุย เชิงมน จะเป็นนางเอกของบริษัทฯ เพราะไทยยังเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการท่องเที่ยวในลำดับต้นๆ โดยตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ประมาณ 60% จากปีก่อนหน้า คิดเป็นอัตราส่วน 16% ของรายได้รวมของบริษัทฯ ในขณะที่รายได้จากโรงแรมในมัลดีฟส์และสหราชอาณาจักรจะเติบโตขึ้น 30% และ 10% จากปีก่อน คิดเป็นอัตราส่วน 31% และ 36% ตามลำดับ ที่เหลือเป็นมอริเชียสกับฟิจิ
นอกจากความหลากหลายของโรงแรมในพอร์ตโฟลิโอแล้ว SHR ยังมีกลยุทธ์ในการขยายพอร์ตธุรกิจอีก 3 กลยุทธ์หลัก คือ 1. การหมุนเวียนและต่อยอดการลงทุนสินทรัพย์ (Asset Rotation & Enhancement) โดยจะทำการขายสินทรัพย์ที่มีการเติบโตจนเต็มมูลค่าแล้วเพื่อนำรายได้จากการขายผนวกกับการลงทุนเพิ่มเติมอีกราว 16 ล้านปอนด์ ไปพัฒนาสินทรัพย์ศักยภาพสูงที่สามารถสร้างการเติบโตต่อไปได้ในอนาคต โดยกลุ่มโรงแรมที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ คือธุรกิจในสหราชอาณาจักร ซึ่งจะทำให้สามารถปรับขึ้นอัตรา ADR ได้ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 90 ปอนด์ หรือเพิ่มขึ้นราว 10% เมื่อเทียบกับปี 2565
อีกทั้งยังมีสินทรัพย์อื่นๆ ที่อยู่ในแผนการปรับปรุงและพัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพ อย่าง “ครอสโรดส์ มัลดีฟส์” ซึ่งได้ดำเนินการพัฒนาปรับปรุงห้องพักในเฟสแรกเสร็จไปแล้วเมื่อเดือนธันวาคมปี 2565 และในปีนี้ได้มีการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น แกลเลอรีท้องถิ่น คาเฟ่พร้อมเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง (Virtual Reality Café) และท่าจอดเรือ super yacht ขนาดใหญ่
ปี 2566 – 2567 มีแผนพัฒนา ทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ และ ทราย ลากูน่า ภูเก็ต ขณะที่ โรงแรม เอาท์ริกเกอร์ ฟิจิ บีช รีสอร์ท เริ่มแผนการปรับปรุงแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2566
“ด้วยแผนทั้งหมดภายใต้งบลงทุนประมาณ 1,000-1,500 ล้านบาท คาดว่าจะช่วยให้เราสามารถบรรลุแผนในการปรับอัตราค่าห้องพักสำหรับห้องที่ทำการปรับปรุงขึ้นได้อีกราว 15-40%” มร.เดิร์กกล่าว
2. เข้าซื้อและควบรวมกิจการ (Merger and Acquisition) วางงบลงทุนในการควบรวมตลอด 3 ปี ที่ 7,500 ล้านบาท เน้นลงทุนในกลุ่มการท่องเที่ยว เพื่อสร้างความหลากหลายให้กับพอร์ตและลดความผันผวนทางฤดูกาลของโรงแรมในเครือ คาดว่าจะขยับขยายไปแถบชายฝั่งทะเลเอเชียและแปซิฟิก (Apac) ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มหาสมุทรอินเดีย และไทย
3. ขยายกิจการด้วยโมเดลธุรกิจแบบ Asset Light เน้นพัฒนาและร่วมลงทุนกับพันธมิตรและแบรนด์ระดับโลก เช่น SO/Maldives โรงแรมขนาด 80 วิลล่า ที่มัลดีฟส์ เป็น Joint Venture ที่ SHR ถือหุ้น 50% งบลงทุนอยู่ที่ 60 ล้านดอลลาร์ มีแผนเปิดตัวไตรมาส 4/2566 ถือเป็นแบรนด์ระดับโลกที่จะเข้ามาช่วยเสริมแกร่งแบรนด์ที่มีอยู่แล้วอย่าง SAii และ Hard Rock
นอกจากนี้ ยังมีแผนนำแบรนด์ของบริษัทฯ อย่างแบรนด์ SAii ไปรับบริหารจัดการโรงแรมให้กับผู้ประกอบการอื่นในหลากหลายรูปแบบ ซึ่งเริ่มมีการติดต่อเข้ามาบ้างแล้วโดยเฉพาะในไทย และคาดว่าน่าจะเห็นภาพชัดมากขึ้นภายในปีนี้
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ SHR นำดิจิทัลแฟลตฟอร์มเข้ามาใช้เสริมประสิทธิภาพในการกำหนดราคาห้องพักของโรงแรมในเครือให้เหมาะสมตามฤดูกาล และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้แบบเรียลไทม์ และมีการทำกิจกรรมทางการตลาดออนไลน์เจาะกลุ่มตลาดที่หลากหลาย เพื่อเพิ่มอัตราการจองห้องพักโดยตรง และผลักดันค่าห้องพักในระดับที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับปี 2566 คาดว่าอัตราการเข้าพักของโรงแรมในเครือทั้งหมดจะอยู่ที่ 75% เมื่อเทียบกับผลประกอบการในปี 2565 ซึ่ง SHR สามารถสร้างผลกำไรที่พลิกกลับมาเป็นบวกได้สำเร็จ จากอัตราการเข้าพักที่ระดับเพียง 60% ดังนั้นระดับการเข้าพักเป้าหมายที่ระดับ 75% นี้จะเป็นตัวขับเคลื่อนผลกำไรในปี 2566 ให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อสร้างฐานกำไรใหม่ให้กับ SHR และให้สมกับการเป็นเสาหลักด้านธุรกิจโรงแรมที่สิงห์ เอสเตท หมายมั่นปั้นมือไว้.
Timeline ที่สำคัญของ SHR
2557 – เข้าซื้อโรงแรมสันติบุรี เกาะสมุย รีสอร์ตริมชายหาดระดับ 5 ดาว และพีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ บีช รีสอร์ต
ตุลาคม 2558 – ทำสัญญากับ FICO UK เพื่อเข้าซื้อโรงแรมในสหราชอาณาจักรจำนวน 26 แห่ง ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 3 ดาวและ 4 ดาว และดำเนินกิจการภายใต้แบรนด์ Mercure
กันยายน 2559 – เข้าซื้อโรงแรมในสหราชอาณาจักรจำนวน 3 แห่ง ดำเนินกิจการภายใต้แบรนด์ Holiday Inn 2 แห่ง และภายใต้แบรนด์ Mercure 1 แห่ง
มิถุนายน 2561 – เข้าซื้อโรงแรม Outrigger และ Castaway จำนวน 6 แห่ง ใน 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย, ฟิจิ, มอริเชียส และมัลดีฟส์
กันยายน 2562 – เปิดดำเนินการโรงแรม 2 แห่ง ได้แก่ โรงแรม SAii Lagoon Maldives, Curio Collection by Hilton และโรงแรม Hard Rock Hotel Maldives
พฤศจิกายน 2562 – เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใต้ชื่อหลักทรัพย์ SHR โดยบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นที่ร้อยละ 60/เข้าลงนามในสัญญาร่วมทุนสำหรับการพัฒนาโครงการแบบ High-end lifestyle resort บนเกาะ 3 ของโครงการ CROSSROADS เฟส 1 กับ Eco World Developer Co., Ltd
ธันวาคม 2563 – เปิดตัวแบรนด์โรงแรมและรีสอร์ตใหม่ ภายใต้ชื่อ “nābor”
กุมภาพันธ์ 2564 – ดำเนินการเปลี่ยนสัญญาของโรงแรมที่ดำเนินการโดยแบรนด์ Outrigger จำนวน 3 แห่ง จากทั้งหมด 6 แห่ง กลับมาบริหารเอง
เมษายน 2564 – ขายโรงแรม Mercure Newbury Elcot Park ในสหราชอาณาจักร
กรกฎาคม 2564 – ลงนามข้อตกลงบริหารจัดการโรงแรมของ SO/Hotels & Resorts กับทาง Wai Eco World Developer Pte. Ltd. (WEWD) นับเป็นรีสอร์ตลำดับที่ 3 ของ “ครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์” มีแผนเปิดตัวในปี 2566
พฤษภาคม 2565 – เดินหน้ากลยุทธ์หมุนเวียนขายสินทรัพย์ ขายโรงแรมเมอร์เคียว เบอร์ตัน อัพพอนในสหราชอาณาจักร