“ธงชัย บุศราพันธ์” คือหนึ่งในกำลังสำคัญของ “กิตติ ธนากิจอำนวย” ในการปลุกปั้นบริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเมื่อ 32 ปีก่อน จนสามารถนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ในปี พ.ศ. 2540 และกลายเป็นแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ที่มีเอกลักษณ์และน่าจับตามอง
ถ้าย้อนกลับไปในปี 2534 “ธงชัย บุศราพันธ์” คือนิสิตจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เริ่มเข้ามาทำงานในโนเบิล บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ผู้เป็นน้าอย่าง “กิตติ ธนากิจอำนวย” เป็นผู้ก่อตั้ง และเข้ามาทำอย่างเต็มตัวทันทีที่เรียนจบพร้อมกลุ่มเพื่อนที่ชักชวนกันมา
คุณธงชัยถือเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการปลุกปั้นโนเบิล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้ามาช่วยคิดและพัฒนาโครงการต่างๆ ของโนเบิลจนกลายเป็นแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ที่แตกต่างและโดดเด่น นับตั้งแต่โครงการแรกอย่าง “โนเบิล พาร์ค” (Noble Park) คอนโดมิเนียมแนวราบที่เป็นโครงการสร้างชื่อให้กับโนเบิลและตัวของเขาเอง ในฐานะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายแรกที่สร้างคอนโดมิเนียมแนวราบออกสู่ตลาดและได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี
ปี 2540 คุณธงชัยสร้างการเติบโตให้กับโนเบิลไปอีกขั้น ด้วยการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้เป็นผลสำเร็จ แม้ว่าต้องเผชิญกับวิกฤตต้มยำกุ้งที่เกิดขึ้นไม่นานหลังจากนั้น จนทำให้บริษัทฯ เสียศูนย์ไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่ในที่สุดเขาก็สามารถนำพาโนเบิลก้าวข้ามวิกฤตครั้งนั้นไปได้ด้วยวิธีคิดที่ต้องเรียกได้ว่านอกกรอบ เพราะเลือกที่จะไปลงทุนในหนี้สินด้อยค่าเพื่อสร้างโอกาสในการหาแหล่งเงิน
หลังร่วมงานกับโนเบิลมายาวนานถึง 20 ปี คุณธงชัยกลับสร้างความแปลกใจให้กับสังคมด้วยการประกาศลาออกจากโนเบิล องค์กรที่เขาปลุกปั้นมากับมือ เพื่อออกไปสร้างธุรกิจของตัวเอง
ปี 2556 ข่าวการซื้อที่ดินแปลงใหญ่ระหว่างซอยสุขุมวิท 22 และ 24 ของธงชัย สร้างความฮือฮาให้กับแวดวงอสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างมาก ด้วยราคาซื้อต่อตารางวาสูงที่สุดในประเทศ ณ เวลานั้น จนกลายเป็นอีกหนึ่งตำนานแห่งการซื้อที่ดินในกรุงเทพฯ และถือเป็นดีลสำคัญในชีวิตของนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างเขาเลยทีเดียว
ในปีเดียวกันเขาจับมือกับกลุ่ม “ลิปตพัลลภ” พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่บนที่ดินที่ซื้อมาในชื่อ “Park 24” หรือ พาร์ค 24 โครงการคอนโดมิเนียมมูลค่า 15,000 ล้านบาท โดยบริหารงานภายใต้บริษัท พราว เรสซิเดนซ์ จำกัด ซึ่งธงชัยนั่งในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และมีครอบครัวลิปตพัลลภเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 70%
คุณธงชัยสร้าง “Park 24” จนประสบความสำเร็จ ก่อนที่จะขายโครงการให้กับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ไปบริหารต่อ ส่วนตัวเขาเองตั้งใจที่จะเกษียณอายุ แต่ในระหว่างนั้น “กิตติ ธนากิจอำนวย” ติดต่อขอให้เขากลับเข้ามาบริหารโนเบิลอีกครั้งหนึ่ง เพราะโนเบิลกำลังประสบปัญหาและสูญเสียศักยภาพทางการแข่งขันในตลาด และด้วยความผูกพันที่มี อีกทั้งกลุ่มเพื่อนที่เคยชักชวนกันมาร่วมบุกเบิกในช่วงก่อตั้งยังคงอยู่ในโนเบิลเช่นเดิม ทำให้เขาตัดสินใจกลับไปยังโนเบิลอีกครั้ง
หลังออกจากโนเบิลไป 7 ปี เขาหวนคืนบ้านหลังเดิมในปี 2562 ในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมและกรรมการผู้จัดการ พร้อมการถือหุ้นในสัดส่วน 23.32% และประกาศทำให้โนเบิลกลับมาเติบโตอีกครั้ง
ที่สำคัญการกลับมาครั้งนี้เขามาพร้อมพันธมิตรที่จะเข้ามาเสริมศักยภาพของโนเบิล อย่าง แฟรงค์ เหลียง จากฟัลครัม โกลบอล แคปิตอล (Fulcrum Global Capital) กองทุน Private Equity ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ระหว่างประเทศ โดยแฟรงค์เข้ามาถือหุ้นโนเบิล 24.9% และยังรั้งตำแหน่งรองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมอีกด้วย นอกจากนั้น ธงชัยยังดึงบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) มาเป็นอีกหนึ่งพันธมิตร โดยบีทีเอสถือหุ้นจำนวน 9.9%
สิ่งที่คุณธงชัยทำหลังเข้ามานั่งบริหารโนเบิลอีกครั้งคือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น เสริมจุดแข็งของโนเบิล ปรับปรุงระบบการบริหารงาน ศึกษาตลาดทั้งในและต่างประเทศให้มากขึ้น โดยเขารับหน้าที่ดูแลการพัฒนาโครงการของโนเบิลทั้งหมด ในขณะที่ แฟรงค์ เหลียง รับผิดชอบด้านการตลาดและการลงทุนต่างประเทศ โดยตั้งเป้าเพิ่มรายได้เป็นปีละ 10,000 ล้านบาทใน 3 ปีข้างหน้า และทำให้โนเบิลติด 1 ใน 10 ผู้นำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้ได้ภายใน 3 ปี
เขาเพิ่มโอกาสใหม่ๆ ให้กับโนเบิลด้วยการเปิดตัวแบรนด์คอนโดมิเนียมใหม่ในชื่อ NUE คอนโดมิเนียมระดับกลาง ในราคาที่จับต้องได้ เน้นทำเลแนวรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นจากการขยายตัวของกรุงเทพฯ เพื่อสร้างยอดขายและกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ที่โนเบิลไม่เคยทำมาในอดีต
ซึ่งคอนโดมิเนียมแบรนด์ NUE ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก นับถึงสิ้นปี 2565 เปิดตัวโครงการมาแล้วทั้งสิ้น 15 โครงการ ยอดขายรวม 34,200 ล้านบาท และปีนี้โนเบิลยังมีแผนเปิดตัวอีกหลายโครงการที่กำลังตามมา อีกทั้งสัดส่วนของลูกค้าต่างชาติก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ปีแรกที่เขากลับเข้ามาบริหาร โดยสามารถสร้างยอดขายจากตลาดต่างประเทศได้ถึง 3,500 ล้านบาท หรือคิดเป็น 50% ของยอดขายทั้งหมดในปี 2562
“อีกหนึ่งเรื่องที่โนเบิลแตกต่างเป็นอย่างมากจากเจ้าอื่น คือ ‘Oversea Industry’ แน่นอนตั้งแต่ผมกลับเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นและผู้บริหารที่โนเบิล ผมพาคุณแฟรงค์มาด้วย ซึ่งผมรู้จักเขาตั้งแต่ตอนทำพาร์ค 24 โดยคุณแฟรงค์มีบทบาทในการพัฒนาและสร้างสถานะของโนเบิลในการเป็นผู้นำตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขายคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ไปยังลูกค้าต่างชาติ”
ด้วยกลยุทธ์ที่วางไว้ทำให้โนเบิลกลับมาเติบโตอย่างก้าวกระโดด มีการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เฉพาะปี 2565 เปิดตัวโครงการใหม่ไปถึง 11 โครงการ รายได้แตะ 10,000 ล้านบาทต่อปี แม้ต้องเผชิญกับผลกระทบวิกฤตโควิด-19 ก็ตามที
ในแง่ภารกิจการพลิกฟื้นโนเบิลของธงชัยนี่คือสิ่งที่เรียกได้ว่าประสบผลสำเร็จ และทำให้บ้านหลังเดิมของเขากลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้ง เพราะวันนี้โนเบิลสามารถกลับมาแข่งขันและโลดแล่นในตลาด มีโครงการที่อยู่อาศัยในพอร์ตโฟลิโอครบทุกประเภททั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม คอนโดมิเนียมทั้งแนวสูงและแนวราบ ที่สำคัญยังสามารถไต่ระดับมาอยู่ในอันดับที่ 6 ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเวลาเพียง 3 ปี
แต่มากไปกว่าความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ คุณธงชัยยังให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตของลูกค้า เพื่อพัฒนาให้ลูกค้ามีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตที่ดี การออกแบบโครงการตลอดจนการบริหารจัดการของโนเบิลจึงคำนึงถึงสิ่งนี้เป็นสำคัญ
อีกสิ่งหนึ่งที่เขาให้ความสำคัญคือการส่งเสริมสังคมรอบด้านให้น่าอยู่ นั่นทำให้เขาเปลี่ยนพื้นที่ของสำนักงานโนเบิลย่านเพลินจิตที่สามารถสร้างรายได้ได้ให้เป็นพื้นที่สร้างสรรค์ในชื่อ “noble PLAY” แทน เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มคนทำงานเล็กๆ มีโอกาสได้เผยแพร่ผลงาน และเป็นช่องทางให้กับธุรกิจที่มีความสามารถแต่ไม่มีพื้นที่ได้เข้ามาใช้ด้วยเช่นกัน ซึ่งโนเบิลยังได้รับคัดเลือกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้เป็น Thailand Sustainability Investment (THSI) หรือ หุ้นยั่งยืน อีกด้วย
ตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมาจึงถือได้ว่าเป็นช่วงแห่งการรีสตาร์ตของโนเบิล และเป็นที่น่าสนใจว่าในอนาคตโนเบิลภายใต้การนำของนักสร้างบ้านมืออาชีพอย่าง “ธงชัย บุศราพันธ์” จะมีอะไรมาสร้างความแปลกใหม่ให้กับแวดวงอสังหาริมทรัพย์ในไทยอีกบ้าง.