เมื่อ 4 ปีก่อน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดตัว Sansiri Backyard เนื้อที่กว่า 20 ไร่ในโครงการ T77 ย่านสุขุมวิท ชูไอเดีย Green & Well-being เป็นอาวุธด้านการตลาดฉีกคู่แข่ง จนวันนี้กลายเป็นหนึ่งซิกเนเจอร์สำคัญและดึงพันธมิตร Passion เดียวกันเข้ามาร่วมสร้างอาณาจักร The Co-Growing Community for Sustainable Urban Living ได้อย่างแข็งแกร่ง
ย้อนไปในวันแรกของโปรเจกต์แบ็กยาร์ด บริษัทนำพื้นที่ว่างในโครงการ T77 และหัวหิน พัฒนาเป็นฟาร์มผักปลอดสารให้คนเมืองมีโอกาสสัมผัสกับวิถีการใช้ชีวิตสุขภาพดีและรับเทรนด์รักสุขภาพใส่ใจสิ่งแวดล้อมที่กำลังบูม เพื่อดึงดูดใจคนเมืองรุ่นใหม่ให้เข้ามาเป็นลูกค้าใน 2 โครงการคอนโดมิเนียมใหม่แบรนด์ HAUS (เฮาส์) ที่ T77 และโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ที่หัวหิน ภายใต้แนวคิด 3Gs คือ Green, Grow และ Give
Green สร้างประโยชน์จากพื้นที่ว่าง ทั้งกลางแจ้งหรือในอาคาร ในบ้านให้เป็นพื้นที่สีเขียว
Grow ปลูกผักและผลไม้ในรูปแบบฟาร์มผักบนพื้นที่ว่าง ทำให้มีโอกาสกินผลผลิตจากธรรมชาติสดใหม่ มีคุณภาพ ปลอดสารพิษ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เน้นให้พนักงาน ลูกบ้าน ชุมชนใกล้เคียงใช้เวลาร่วมกันปลูกผักใน Sansiri Backyard
Give แบ่งปันผลผลิตบางส่วนที่ได้จาก Sansiri Backyard ไปยังครอบครัวแสนสิริ โรงเรียนรอบข้างพื้นที่ ชุมชนข้างเคียง และคนทั่วไปที่ต้องการเรียนรู้การใช้ชีวิตแบบ Well-being
ปัจจุบัน SANSIRI BACKYARD T77 Community มีพันธมิตรสีเขียว ได้แก่ ไร่กำนันจุล ร้านปองโยและโรงเสบียง โดยแบ่งสัดส่วนพื้นที่สร้างความหลากหลายมากขึ้น
หากไล่เรียงทุกรายต่างมีเรื่องราวน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น “ไร่กำนันจุล” ซึ่งแตกสาขาจากจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยกำนันจุล คุ้นวงษ์ ถือเป็นเกษตรกรตัวอย่างที่ตัดสินใจอพยพครอบครัวจากกรุงเทพฯ มาบุกป่าฝ่าดง พัฒนาพื้นที่บริเวณสามแยกวงชมภูนับหมื่นไร่ใน อ. เมือง จ. เพชรบูรณ์ ให้กลายเป็นผืนดินเกษตรที่อุดมสมบูรณ์เมื่อ 80 ปีก่อน จนประสบความสำเร็จในการทำสวนส้มเขียวหวาน ถ่ายทอดความรู้และสร้างอาชีพให้ผู้คนในชุมชนใกล้เคียงมากกว่า 1,500 ครอบครัว
ทุกวันนี้กลุ่มบริษัทไร่กำนันจุลดำเนินธุรกิจหลัก คือธุรกิจไหมครบวงจร ธุรกิจไร่ที่มีทั้งอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป ธุรกิจค้าปลีก “ร้านค้าไร่กำนันจุล” และธุรกิจท่องเที่ยวเชิงเกษตร
สำหรับไร่กำนันจุลใน T77 Community เน้นแนวคิด ทำ ปลูก เก็บ กิน ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น กิจกรรมเก็บผัก Self-harvest vegetable กิจกรรมเก็บเกี่ยวตามฤดูกาล เช่น เมล่อน ข้าวโพดหวาน ข้าว มัลเบอร์รี่ มะเขือเทศและบัตเตอร์นัต เก็บไข่ไก่ Egg hunting ให้อาหารปลา ให้อาหารเป็ดไก่
ล่าสุดเปิดตัว บ้านผีเสื้อ (Little Big wings Butterfly & Garden) นำเสนอวัฏจักรของผีเสื้อหลากหลายสายพันธุ์มากกว่า 15 ชนิด แบบครบวงจร 4 ระยะ ตั้งแต่ ไข่ หนอน ดักแด้และตัวเต็มวัย โดยมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญให้ความรู้ พร้อมกิจกรรมให้น้ำหวานผีเสื้อด้วยก้านสำลีจุ่มน้ำหวานจนชุ่มให้ผีเสื้อบินมาเกาะแบบใกล้ชิด กิจกรรม D.I.Y. ทำกล่องสลับลายจากปีกผีเสื้อของจริงที่หมดอายุขัย กิจกรรมปล่อยผีเสื้อ
ส่วนร้านปองโย ผัก ผลไม้ในฟาร์ม เป็นตลาดต้นไม้ครบวงจรราคาเทียบเท่าตลาดต้นไม้จตุจักร พร้อมบริการเปลี่ยนกระถาง ห่อของขวัญและจัดส่งด้วย โดยแบ่งพื้นที่ 6 โซนหลัก ได้แก่ โซนต้นไม้หลากหลายประเภท โซนต้นแคคตัส โซนเฟิร์น+เคราฤาษี โซนไม้ดอก โซนไม้ใบ+ไม้ฟอกอากาศ และโซนวัสดุอุปกรณ์การเกษตร
ขณะที่ “โรงเสบียง” เป็นร้านอาหารคอนเซ็ปต์ธรรมชาติ ใช้ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกเก็บเกี่ยวสดใหม่จาก Sansiri Backyard ทั้งอาหารไทย อาหารยุโรป และเครื่องดื่มต่างๆ
แน่นอนว่า SANSIRI BACKYARD T77 Community ถือเป็นต้นแบบที่ใช้เวลาเติมเต็มองค์ประกอบต่างๆ และยังถือเป็นกลยุทธ์การตลาดชิ้นสำคัญ เพื่อขยายฐานกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยแสนสิริตั้งเป้าให้ทุกโครงการมีแบ็กยาร์ดหรือพื้นที่สวนหลังบ้านเป็นตัวเน้นให้เห็นถึงแนวคิดการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ซึ่งล่าสุดเปิดแบ็กยาร์ดในโครงการต่างๆ รวม 160 โครงการ ทั้งที่อยู่อาศัยแนวราบ เช่น บ้านเดี่ยว และแนวสูงอย่างคอนโดมิเนียม
นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การปลูกและเก็บรักษาต้นไม้เพื่อสร้างพื้นที่สีเขียวในโครงการให้มากที่สุด เป็นความตั้งใจนับตั้งแต่ก่อตั้งองค์กร เริ่มต้นจากการริเริ่มโมเดล Sansiri Tree Story เก็บ – เลือก – ปลูก – รักษาต้นไม้ใหญ่คู่โครงการ มีพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ช่วยดูแลรักษาต้นไม้
ทั้งนี้ ช่วง 10 ปีที่ผ่านมาบริษัทปลูกต้นไม้รวมกว่า 200,000 ต้นในกว่า 100 โครงการ แบ่งเป็นต้นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่กว่า 12,000 ต้น ซึ่งจะช่วยดูดซับคาร์บอนให้โลกได้กว่า 114 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี และเก็บรักษาต้นไม้ใหญ่บนที่ดินเดิมกว่า 1,000 ต้น รวมถึงธุรกิจอื่นๆ ที่แสนสิริลงทุน เช่น โรงแรมเดอะ สแตนดาร์ด หัวหิน มีการเก็บต้นไม้ขนาดใหญ่บนที่ดินเดิมกว่า 200 ต้น และปลูกต้นไม้ใหม่เพิ่มอีกกว่า 3,000 ต้น
ส่วนปี 2565 บริษัทเร่งแผนปลูกต้นไม้รวมทั้งสิ้นกว่า 90,000 ต้น ซึ่งเป็นต้นไม้ใหญ่กว่า 8,000 ต้น โดยโซนอยู่อาศัยที่ปลูกต้นไม้มากที่สุด ได้แก่ “กรุงเทพกรีฑาคอมมูนิตี้” ที่ประกอบด้วยโครงการนาราสิริ บุราสิริ บูก้าน และถนนส่วนกลาง ปลูกต้นไม้รวมถึงกว่า 16,500 ต้น และเร่งปลูกต้นไม้ในโครงการบุราสิริ กรุงเทพกรีฑา ที่จะเปิดตัวในเดือนสิงหาคมนี้ เป็นต้นไม้ใหญ่กว่า 300 ต้น และต้นไม้ชนิดอื่นอีก 8,000 ต้น
ด้านโครงการคอนโดมิเนียมที่ปลูกต้นไม้มากที่สุด ได้แก่ เอ็กซ์ที พญาไท มีต้นไม้ใหญ่ถึง 110 ต้น และต้นไม้ชนิดอื่นๆ อีก 1,500 ต้น
เหตุผลที่แสนสิริเร่งสร้างพื้นที่สีเขียวในโซนกรุงเทพกรีฑา นอกจากรองรับแผนการตลาดปลุกโครงการต่างๆ แล้ว ยังหมายมั่นปลุกปั้นให้เป็นคอมมูนิตี้ในเมืองใหญ่เหมือนการเติบโตเมืองใหญ่ทั่วโลก เช่น ย่านการเติบโตต่างๆ ของประเทศญี่ปุ่นที่มีอารมณ์เมืองของแต่ละเขต เช่น ย่านอาซาคูซะ ย่านชิบูยา ย่านกินซา ย่านชินจูกุ ด้วยโลเคชั่นใกล้สถานีรถไฟฟ้าต่อขยายออกไปเรื่อย ซึ่งกรุงเทพกรีฑาถือเป็นหนึ่งทำเลในเมืองใหญ่ของกรุงเทพฯ ที่มีศักยภาพเติบโตสูง โดยเฉพาะในโซนตะวันออก
ดูจากราคาที่ดินพุ่งถึง 150% ในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา และที่ดินติดถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ (ศรีนครินทร์-ร่มเกล้า) ปัจจุบันอยู่ที่ 140,000 บาทต่อตารางวา และมีแนวโน้มพุ่งขึ้นอีก
เบื้องต้นตามแผนของแสนสิริจะพัฒนาพื้นที่กรุงเทพกรีฑาคอมมูนิตี้ 500 ไร่ มูลค่ารวม 30,000 ล้านบาท โดยปีนี้เปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวระดับบนอีก 3 โครงการ มูลค่ารวม 9,300 ล้านบาท ได้แก่ นาราสิริ กรุงเทพกรีฑา พื้นที่ 57 ไร่ บุราสิริ กรุงเทพกรีฑา พื้นที่ 85 ไร่ ภายใต้ความร่วมมือกับ โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประเทศญี่ปุ่น และบูก้าน กรุงเทพกรีฑา พื้นที่ 19 ไร่
ผู้บริหารอย่างอุทัยมั่นใจว่า จุดแข็งของกรุงเทพกรีฑา คอมมูนิตี้ ทั้งทำเลและแนวคิดการพัฒนาสังคมอยู่อาศัยภายใต้แนวคิด “You are Made for Life” โดยเฉพาะการเน้นพื้นที่สีเขียวกลางเมืองใหญ่ จากต้นแบบ SANSIRI BACKYARD T77 Community จะเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของที่ดินผืนใหญ่แห่งนี้ด้วย.