ตลาดสินเชื่อจำนำทะเบียนเริ่มกลับมาฟื้นตัวและมีแนวโน้มเติบโตในทุกเซกเมนต์ ผู้ประกอบการต่างลุยขยายสาขาพร้อมตั้งเป้าเติบโตสูง ด้าน “สมหวัง เงินสั่งได้” ประกาศตั้งเป้าเติบโต 30-40% ด้วยแคมเปญใหม่ “สั่งง่าย ได้ไว คันไหนๆ ก็สมหวัง” ไม่เช็กเครดิตบูโร อีกทั้งยังเดินหน้าการตลาดแบบ “มิวสิกมาร์เก็ตติ้ง” เพื่อสร้างภาพจำและเชื่อมแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมาย
สินเชื่อจำนำทะเบียนรถยังคงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของแหล่งเงินกู้เพื่อนำมาใช้ในยามฉุกเฉินและเพื่อเสริมสภาพคล่องทางเศรษฐกิจที่เป็นที่ต้องการของผู้บริโภค เพราะเป็นสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยที่ไม่สูงนัก และช่วยผู้บริโภคเสริมสภาพคล่องได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะที่ครัวเรือนขาดรายได้จากผลกระทบของโควิด-19
ที่สำคัญหลายฝ่ายยังคาดการณ์กันว่าปีนี้แนวโน้มตลาดสินเชื่อจำนำทะเบียนจะกลับมาฟื้นตัว หลังจากชะลอตัวในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งนั่นทำให้การแข่งขันในตลาดคึกคักมากขึ้นด้วยเช่นกัน ทั้งจากกลุ่มแบงก์และนอนแบงก์
ล่าสุด “สมหวัง เงินสั่งได้” ในกลุ่มธนาคารทิสโก้ ก็ออกมาเขย่าตลาดอีกครั้ง ด้วยการประกาศเดินหน้าขยายฐานลูกค้าสินเชื่อทะเบียนรถ พร้อมตั้งเป้าเติบโตขึ้น 30-40% หรือราวๆ 2 -2.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ติดลบ 0.7% เกือบ 1.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นเป้าเติบโตที่สูงไม่ใช่เล่น
ปัจจัยที่ทำให้บริษัทฯ ตั้งเป้าเติบโตในระดับนี้ มาจากการที่เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศที่กลับมาปกติมากขึ้น แม้ว่าจะยังมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 อยู่ แต่สถานการณ์ไม่มีความรุนแรง และไม่มีมาตรการล็อกดาวน์ออกมา อีกทั้งคนเริ่มเรียนรู้ในการใช้ชีวิตกับโควิด-19 ตามปกติมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้จากการออกมาใช้ชีวิตตามสถานที่ต่างๆ ที่เริ่มเห็นการทำกิจกรรมกลับมาเหมือนปกติแล้ว ทำให้เป็นภาพบวกต่อเศรษฐกิจ คนมีความมั่นใจ และมีความต้องการใช้สินเชื่อกลับมามากขึ้น
นั่นทำให้ในช่วงไตรมาส 1/65 ที่ผ่านมาสินเชื่อของสมหวัง เงินสั่งได้ มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ศุภชัย บุญศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไฮเวย์ จำกัด ผู้ให้บริการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถและนายหน้าประกันภัย ภายใต้แบรนด์ “สมหวัง เงินสั่งได้” เปิดเผยว่า “ปี 2564 ถือว่าหนักหนาสาหัสเพราะการระบาดของเดลต้ามันค่อนข้างรุนแรง เป็นช่วงที่เราชะลอการปล่อยสินเชื่อใหม่ แต่เข้าไปช่วยเหลือลูกค้าเก่าแทน ผ่านทางการบรรเทาหนี้ ลดค่างวด ยืดอายุการชำระหนี้ และโครงการคืนรถจบหนี้ เพื่อให้ลูกค้าไปต่อได้ แต่พอ Q3 – Q4 เริ่มดีขึ้น พอ Q1 ปี 2565 ทิศทางก็ดีขึ้นอย่างชัดเจน ลูกค้าเติบโตขึ้นถึง 2 หลัก”
โดยแผนของปีนี้ “สมหวัง เงินสั่งได้” จะเดินหน้าขยายฐานลูกค้าใหม่ในระดับอำเภอและตำบลควบคู่กับการรักษาฐานลูกค้าเดิมเพื่อบรรลุเป้าที่วางไว้ และเดินหน้าเปิดสาขาเพิ่มเติม เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงได้ง่าย รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ ที่จะเน้นความสะดวกและรวดเร็ว ไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไร อยู่ที่ไหน ก็สามารถขอสินเชื่อได้ ผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่
1. สาขาที่มีอยู่ทั่วประเทศ ณ ปัจจุบันที่มีอยู่กว่า 400 สาขา และปีนี้จะขยายอีกเป็น 500-800 สาขา, 2. ขอสินเชื่อผ่าน call center และช่องทางที่ 3. online ที่มีทั้ง LINE@ และเฟซบุ๊กเพจ
“การขยายสาขาเป็นสิ่งจำเป็น ต้องมีให้เพียงพอกับความต้องการของลูกค้า แต่การเปิดสาขาใหม่มันคือการลงทุน เพราะฉะนั้นเราต้องพิจารณาอย่างละเอียด ทั้งปริมาณคน ปริมาณรถที่จดทะเบียนในพื้นที่ การใช้จ่าย เพื่อให้คุ้มที่สุด”
โดยกลยุทธ์การตลาดที่นำมาใช้ยังคงเป็น “มิวสิกมาร์เก็ตติ้ง (Music Marketing)” ที่บริษัทฯ ใช้เป็นกลยุทธ์การตลาดมาตลอด 10 ปี ตั้งแต่เพลง “สมหวังนะครับ” ที่มี “ก๊อท จักรพันธ์” พรีเซนเตอร์คนแรกของสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ “สมหวังเงินสั่งได้” เป็นผู้ขับร้อง ต่อด้วยเพลง “คนบ้านเดียวกัน”, “สมหวังกันภัยมั่นใจทั้งอำเภอ” และ “ต้องมีสักวัน”
ล่าสุด “สมหวัง เงินสั่งได้” ตอกย้ำมิวสิกมาร์เก็ตติ้ง ด้วยการเปิดตัวเพลง “สมหวังแล้วค่ะ (เชพบ๊ะ cover)” พร้อมพรีเซนเตอร์คนใหม่ “ฮาย อาภาพร นครสวรรค์” มาประกบคู่กับ เด่นคุณ งามเนตร พรีเซนเตอร์คนปัจจุบัน โดยเลือกพรีเซนเตอร์ที่มีบุคลิกที่สนุกสนานและเข้าถึงง่าย
สำหรับเพลง “สมหวังแล้วค่ะ (เชพบ๊ะ cover)” เป็นการหยิบเอาเพลง “เชพบะ” ของ “ฮาย อาภาพร นครสวรรค์” นักร้องลูกทุ่งยอดนิยม มาดัดแปลงเนื้อร้องให้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ของสมหวัง และทำให้เป็นดนตรีร่วมสมัยและสนุกสนาน
บริษัทฯ เชื่อว่า การตลาดแบบมิวสิกมาร์เก็ตติ้งเป็นการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และยังคงได้รับความนิยมและตรงกับจริตของคนไทย ซึ่งไม่ใช่แค่ความสนุกสนาน ไม่ใช่แค่เสียงเพลง และไม่ใช่แค่ศิลปินเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง เพราะดนตรีเข้าถึงคนทุกกลุ่ม ทุกอาชีพ ทุกเพศ และทุกวัย โดยเฉพาะผู้บริโภคในยุคดิจิทัล และเป็นเครื่องมือที่จะช่วยสร้างภาพจำของแบรนด์และสร้างสีสันให้กับตลาดได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ ในโอกาสครบรอบ 10 ปี “สมหวัง เงินสั่งได้” ยังได้จัดแคมเปญ “สั่งง่ายได้ไว คันไหนๆ ก็สมหวัง” ให้กู้ทุกประเภทรถ อาชีพไหนก็กู้ได้ อนุมัติไว ไม่ต้องมีคนค้ำประกัน ไม่เช็กประวัติเครดิตบูโร และไม่มีค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินกู้ เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบให้กับคนไทย
แต่คำถามที่ตามมาคือ ไม่เช็กเครดิตบูโร แล้วเสี่ยงหรือไม่?
ในประเด็นนี้ ศุภชัยแสดงทัศนะไว้ว่า “2 ปีที่ผ่านมามันกระทบกับทุกคน มันสะบักสะบอม ภาครัฐเองก็ต้องการให้สถาบันการเงินเข้าช่วยลูกค้า ลูกค้าก็ต้องการใช้เงินแต่ไม่สะดวกใจที่จะให้เช็กเครดิตบูโร เราเลยต้องเข้าไปช่วย โดยใช้ปัจจัยอื่นเข้ามาช่วยในการพิจารณาในการให้สินเชื่อโดยไม่ต้องเช็กเครดิตบูโร”
ปัจจัยที่นำมาพิจารณาจะดูจากโพรไฟล์ของลูกค้า ทั้งรายได้ อาชีพ ข้อมูลการชำระเงินที่ผ่านมา นำมาประมวลผลโดยใช้ AI เพื่อประเมินศักยภาพในการชำระหนี้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับประเภทของสินเชื่อด้วยอีกส่วนหนึ่ง
อีกหนึ่งบริการที่ออกใหม่ในการฉลองครบรอบ 10 ปี คือ บริการ “เงินสั่งง่าย” ที่ลูกค้าสามารถเบิกเงินสดก้อนใหม่จากวงเงินสินเชื่อจำนำทะเบียนแบบวงเงินหมุนเวียนได้ในจำนวนเท่ากับงวดที่ลูกค้าได้ผ่อนไป โดยไม่ต้องยื่นขอสินเชื่อใหม่ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่ต้องการใช้เงินเพิ่ม
“เงินสั่งง่าย” เป็นการต่อยอดมาจากแคมเปญ “ฝ่าวิกฤต ชีวิตตั้งหลักได้” ที่ดำเนินมาตั้งแต่ปลายปี 2564 เพื่อช่วยให้ลูกค้าจำนำทะเบียนรถเข้าถึงสินเชื่อได้ โดยอนุมัติและทราบผลภายใน 2 ชั่วโมง ไม่ต้องมีคนค้ำ ไม่เช็กประวัติเครดิตบูโร ให้วงเงินสูงสุด 250,000 บาท ผ่อนชำระได้สูงสุด 60 งวด และไม่มีค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินกู้ โดยมีระยะเวลาให้บริการ 1 ปีเต็ม
ปัจจุบัน “สมหวัง เงินสั่งได้” ให้บริการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถตั้งแต่ 2-18 ล้อ ได้แก่ รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ รถกระบะ รถบรรทุก และรถบิ๊กไบค์ โดยกลุ่มลูกค้า 4 ล้อ ถือเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีขนาดใหญ่สุด โดยอนาคตบริษัทฯ จะขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มรถบรรทุกและมอเตอร์ไซค์มากขึ้น
อีกหนึ่งประเด็นที่เป็นข้อกังวลคือเรื่องของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) โดยปัจจุบัน NPL ของสมหวัง เงินสั่งได้ มีแนวโน้มปรับตัวลดลงต่ำกว่า 3% ทำให้ปี 2565 บริษัทตั้งเป้าคุม NPL ของปีไม่ให้เกิน 3% เนื่องจากสถานการณ์เริ่มดีขึ้น อีกทั้งมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้ทำมาตลอดน่าจะช่วยได้ในระดับหนึ่ง
ศุภชัยกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “เราหวังว่าปีนี้โควิดจะจบ เราผ่านจุดต่ำมาก ๆ มาแล้ว สมควรจะถึงจุดที่ต้องดีขึ้นได้แล้ว ผมเชื่อว่ามันมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์รออยู่”
สำหรับภาพรวมของตลาดจำนำทะเบียนรถถือเป็นตลาดที่ค่อนข้างใหญ่ มีมูลค่าการตลาดราวๆ 180,000 ล้านบาท มีกลุ่มนอนแบงก์เป็นผู้นำตลาด และมีการแข่งขันที่เข้มข้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ภาพการแข่งขันมีหลายมิติด้วยกัน ทั้งการออกผลิตภัณฑ์มากขึ้น การเพิ่มช่องทางขอสินเชื่อ การให้วงเงินกู้สูงขึ้น การให้อัตราดอกเบี้ยพิเศษ และที่สำคัญแต่ละค่ายมีการตั้งเป้าการเติบโตในเปอร์เซ็นต์ที่สูงมากขึ้น
เริ่มที่ บมจ. เอสจี แคปปิตอล (SG Capital) ในกลุ่ม “ซิงเกอร์” ผู้ให้บริการธุรกิจสินเชื่อภายใต้แบรนด์ “รถทำเงิน” ตั้งเป้าปล่อย “สินเชื่อรถทำเงิน” ปี 2565 ไว้ที่ 5,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% จากปีที่ผ่านมา ที่มียอดปล่อยสินเชื่อ 3,963 ล้านบาท และตั้งเป้าขึ้นเป็นผู้นำตลาดรถทำเงินในตลาด B2B ภายในปี 2569 โดยเน้นที่รถบรรทุกเป็นหลัก
ด้าน บมจ. เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) ผู้นำสินเชื่อจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์และนาโนไฟแนนซ์ ตั้งเป้าขยายพอร์ตสินเชื่อ 25-30% ขึ้นไปที่ระดับ 100,000 ล้านบาท และมีแผนขยายสาขาเพิ่มเป็น 6,500 สาขาให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
ทางฟาก บมจ. เงินติดล้อ (TIDLOR) ตั้งเป้าขยายสาขาเพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 300 แห่งในปีนี้ เพื่อเพิ่มช่องทางเข้าถึงการให้บริการแก่ลูกค้า
ในขณะที่น้องใหม่ในตลาดอย่าง “เคทีซี พี่เบิ้ม” จาก บมจ. บัตรกรุงไทย ก็ประกาศเป้าแบบก้าวกระโดด จาก 1,000 ล้านบาท ในปี 2564 สู่เป้าใหญ่ 11,500 ล้านบาท ในปี 2565 ด้วยการเร่งขยายฐานลูกค้าและสร้างผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายให้ครบตามความต้องการของตลาด
ซึ่งนั่นทำให้ภาพการแข่งขันของตลาดสินเชื่อจำนำทะเบียนรถในปีนี้น่าจะคึกคักไม่น้อยเลยทีเดียว.