“แสนสิริ” ยังเดินหน้ากลยุทธ์ฉีกแนวคู่แข่ง โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ Partnership Game จับมือพันธมิตรแบบไม่จำกัดวงการ โดยปีนี้ประกาศผนึกแบรนด์คาแรกเตอร์การ์ตูนดัง “ขายหัวเราะ” งัดแคมเปญ “บ้านนี้ ฮะ ฮะ ฮ่า” เจาะเรียลดีมานด์ ในกลุ่มเซกเมนต์ affordable ชนิดที่ใครหลายคนไม่คาดคิดจะผสมผสานกันได้ พลิกวิกฤตอสังหาฯ กลายเป็นเรื่องขำขัน แถมตั้งเป้ากวาดยอดขายสูงถึง 8,200 ล้านบาท
ขณะเดียวกันหากย้อนกลับไปดูหลายแคมเปญช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ท่ามกลางสถานการณ์โควิดแพร่ระบาดยืดเยื้อ แสนสิริดันจุดยืนภายใต้แนวคิด ‘No One Left Behind’ อยากให้ทุกคนก้าวข้ามวิกฤตโควิด-19 และมีบ้านได้ง่ายขึ้น โดยเปิดกลยุทธ์การตลาดสร้างรอยยิ้มร่วมกับพาร์ตเนอร์หลากหลายธุรกิจ
ไม่ว่าจะเป็นการจับมือกับบริษัท ฟู้ดแพชชั่น เจ้าของธุรกิจร้านอาหารสไตล์ปิ้งย่าง “บาร์บีคิวพลาซ่า” ส่งแคมเปญ “แสนสิริ x บาร์บีคิวพลาซ่า” ผ่อนให้ 24 เดือน แจกทองคำ เครื่องใช้ไฟฟ้าครบชุด เฟอร์นิเจอร์ครบเซต และถ้าลูกค้าบาร์บีคิวพลาซ่า ชวนเพื่อนมาซื้อโครงการ รับค่าแนะนำสูงสุด 200,000 บาท
การต่อยอด Collaboration Strategy ผนึกไอศกรีมพรีเมียม ฮาเก้นดาส ทุ่มบิ๊กโปรเจกต์ Freeze The Moment ช่วงปลายปี 2564 จัดวันพิเศษนำไอศกรีมแจกลูกบ้านแสนสิริในคอมมูนิตี้ต่างๆ พร้อมเปิดแคมเปญ “Freeze The Deal” จองดีลที่ดีที่สุด ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม ให้คนไทยมีบ้านง่ายขึ้น
มีแคมเปญ Live Love Joy ดึง 13 ศิลปิน ปลุกพลังบวก ให้กำลังใจคนไทย ส่งต่อทุกรอยยิ้ม ผ่านโลก Virtual และการสนับสนุนความเท่าเทียมภายใต้แนวคิด Live Equally ผ่านแคมเปญสินเชื่อ LGBTQ การอนุมัติให้พนักงาน LGBTQ ลาแต่งงานและลาแปลงเพศได้
ชลีรัตน์ ต่อจรัส ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดองค์กร บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีที่ผ่านมา การจับมือกับบาร์บีคิว พลาซ่า สร้างกระแส talk of the town และกวาดยอดขายทะลุเป้ากว่า 7,000 ล้านบาท ส่วนปีนี้ตัดสินใจผนึกแบรนด์คาแรกเตอร์การ์ตูนดัง “ขายหัวเราะ” เพื่อให้คนเข้าถึงแบรนด์และเข้าใจจุดเด่นของแสนสิริง่ายขึ้น ภายใต้แคมเปญ “บ้านนี้ ฮะ ฮะ ฮ่า” ใช้แก๊งคาแรกเตอร์ตัวการ์ตูนของขายหัวเราะอย่าง หนูหิ่น ปังปอนด์ บก. วิติ๊ด เป็นตัวเล่าความต้องการที่อยู่อาศัย ในฐานะ End-User ตัวแทนของคนอยากมีบ้าน ตั้งแต่ดีไซน์ ฟังก์ชัน และบริการ
ขณะเดียวกัน ทุ่ม “โปรอารมณ์ดี” เช่น อัตราดอกเบี้ยดีที่สุดจากธนาคารอย่างไม่เคยมีมาก่อนในวงการอสังหาริมทรัพย์ อัตรา 2.2% นานสูงสุด 3 ปี ผ่อนแค่ล้านละ 1,000 บาทต่อเดือน และเตรียมดีลที่ดีที่สุดจากทั้ง 66 โครงการ เริ่มต้นราคา 1.39 ล้านบาท โดยตั้งเป้าตลอดแคมเปญจนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม จะสร้างยอดขายกว่า 8,200 ล้านบาท
“เราจะสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าในหลากหลายแพลตฟอร์ม ทั้งคลิปวิดีโอสั้น นสพ. แท็บลอยด์ การจัดกิจกรรมร่วมกับลูกบ้าน การนำการ์ตูนและแก๊กมุกตลกต่างๆ มาผสมผสานกับภาพโครงการแสนสิริ สร้างกระแสไวรัลโซเชียล ผ่าน Story telling กับตัวการ์ตูนต่างๆ ให้ออกมาโลดแล่นบนโลกจริง เช่น กองทัพแก๊งการ์ตูนบุกเมืองแจกแท็บลอยด์กลางสี่แยก Installation Arts ตามโครงการต่างๆ ของแสนสิริทั้งบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม และทาวน์โฮม รวมถึงจัดกิจกรรม DIY ทำเสื้อใหม่กับขายหัวเราะ นำเสื้อเก่ามาสร้างสีสันใหม่ด้วยสติกเกอร์แก๊งขายหัวเราะ”
ที่สำคัญ ถือเป็นครั้งแรกที่มีการครีเอตภาพคาแรกเตอร์การ์ตูนของ เศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสื่อสารผ่านแคมเปญด้วย
แน่นอนว่า การเปิดเกมรอบใหม่นี้เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ตามยุทธศาสตร์ “STEP BEYOND” ซึ่งซีอีโอใหญ่ประกาศเร่งเครื่องตลอดปี 2565 เพราะวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ถึง 46 โครงการ มูลค่ารวม 50,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 28 โครงการ และคอนโดมิเนียม 18 โครงการ โดยแบ่งสัดส่วนของ Affordable Segment ถึง 50% เพื่อให้แสนสิริเป็นแบรนด์ที่เข้าถึงง่าย ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมราคาเข้าถึงได้ภายใต้แบรนด์คอนโด มี, เดอะ มูฟ, ดีคอนโด และเดอะ ไลน์ พร้อมรุกคอนโดมิเนียมแบรนด์ เดอะ เบส ซึ่งจะเปิดตัว 4 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 4,500 ล้านบาท
ขณะที่แนวราบ วางแผนเปิดตัวทาวน์โฮมราคาเข้าถึงง่าย แบรนด์ สิริ เพลส จำนวน 8 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 6,100 ล้านบาท พร้อมๆ กับการรุกตลาดระดับซูเปอร์ไฮเอนด์อย่างต่อเนื่อง ทั้งแบรนด์สราญสิริ บุราสิริ เศรษฐสิริ บูก้าน และนาราสิริ โดยในภาพรวมตั้งเป้าหมายยอดขายและยอดโอนโครงการทั้งปีที่ 35,000 ล้านบาท และมั่นใจว่า ภายใน 3 ปี จะเปิดตัวโครงการใหม่ มูลค่ารวม 150,000 ล้านบาท เพื่อผลักดันเป้าหมายยอดขายรวม 120,000 ล้านบาท
แต่ทั้งหมดต้องดูเกมการพลิกกลยุทธ์ดึงพันธมิตรแบบข้ามวงการจะยังคงความเหนือชั้น กระตุ้นความสนใจและยอดขายโต้มรสุมเศรษฐกิจที่ยังโถมใส่ประเทศไทยอย่างไม่หยุด แบบมหาสนุก ฮะ ฮะ ฮ่า ได้มากแค่ไหนเพียงใด.
บก. วิติ๊ด ขายหัวเราะ
จากแก๊กการ์ตูนสู่ Soft Power
สำนักพิมพ์บรรลือสาส์น ก่อตั้งโดยนายบันลือ อุตสาหจิต เมื่อปี 2498 ที่ถนนนครสวรรค์ใกล้สะพานผ่านฟ้าลีลาศ จังหวัดพระนคร จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายนวนิยายของทมยันตี แก้วเก้า หนังสือเพลงลูกทุ่งและเพลงลูกกรุง และหนังสือการ์ตูนชุดต่างๆ เช่น สิงห์เชิ้ตดำ หนูป้อม-ลุงเป๋อ หนูจ๋า เบบี้ หัสนิยายชุด พล นิกร กิมหงวน โดยดึง เสถียร หาญคุณตุละ เจ้าของนามปากกา “จิงโจ้” มาเป็นนักเขียนภาพประกอบและนักเขียนการ์ตูนรายแรกของสำนักพิมพ์
หลังจากนั้นมีนักเขียนคนอื่นๆ ได้แก่ เศก ดุสิต, จำนูญ เล็กสมทิศ (จุ๋มจิ๋ม), วัฒนา เพชรสุวรรณ (วัฒนา, อาวัฒน์, ตาโต) เข้ามาร่วมงานด้วยกัน
ด้านการตลาดนั้นบันลือบุกเบิกการตลาดด้วยตัวเอง เดินทางสำรวจและเยี่ยมเยียนลูกค้าตามจังหวัดต่างๆ ประสบความสำเร็จทั้งด้านคุณภาพการจัดทำและการจัดจำหน่าย
กระทั่ง ปี 2516 วิธิต อุตสาหจิต บุตรชายคนโตของบันลือ ซึ่งขณะนั้นอายุ 18 ปี ในฐานะบรรณาธิการ เปิดตัวนิตยสารการ์ตูนชื่อ “ขายหัวเราะ” รูปแบบการ์ตูนแก๊กแบบ 3 ช่องจบ โดยรวบรวมผลงานจากนักเขียนการ์ตูนหลายคนไว้ในเล่มเดียว ได้รับความนิยมจากผู้อ่านมาก
ปี 2518 วิธิตออกนิตยสารการ์ตูนเพิ่มอีกเล่ม ชื่อ “มหาสนุก” เนื้อหาคล้ายกับขายหัวเราะ แต่เพิ่มการ์ตูนเรื่องสั้น
นิตยสารทั้งสองเล่มกลายเป็นแหล่งสร้างสรรค์นักเขียนการ์ตูนรุ่นใหม่ เช่น นิพนธ์ เสงี่ยมศักดิ์ (นิค) ภักดี แสนทวีสุข (ต่าย) ผดุง ไกรศรี (เอ๊าะ) และการ์ตูนยอดนิยมชุดต่างๆ เช่น ปังปอนด์ สาวดอกไม้กะนายกล้วยไข่ หนูหิ่นอินเตอร์
ทั้งนี้ “ขายหัวเราะ” ถือเป็นนิตยสารการ์ตูนไทยที่ทำยอดขายกว่าล้านเล่มต่อเดือนตลอดช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา โดยขนาดรูปเล่มในสมัยเริ่มแรกมีขนาดใหญ่เท่ากระดาษ A4 ราคาเล่มละ 5 บาท ต่อมาเพิ่มเป็น 6 และ 7 บาท ก่อนปรับขนาดหนังสือเล็กลงเป็นฉบับกระเป๋าเท่ากระดาษ B5 ขายราคา 10 บาท ภายหลังขึ้นราคาเป็น 12 บาท 15 บาท และ 20 บาท ตามต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น
ปัจจุบันสำนักพิมพ์บรรลือสาส์นใช้ชื่อว่า บริษัท บันลือ พับลิเคชั่นส์ จำกัด อยู่ในเครือบรรลือกรุ๊ป ซึ่งยังมีบริษัทในเครืออีก 4 บริษัท คือ บริษัท บรรลือสาส์น จำกัด ดูแลการจัดจำหน่ายหนังสือแก่ลูกค้าทั่วประเทศ บริษัท บันลือบุ๊คส์ จำกัด เป็นผู้แทนจำหน่ายหนังสือในเครือบันลือกรุ๊ป บริษัท วิธิตา จำกัด ผลิตงานแอนิเมชั่น ภาพยนตร์ดิจิทัล โมบายล์คอนเทนต์ และบริษัท มาโชบิส จำกัด ดูแลธุรกิจลิขสิทธิ์ และบริหารงานทางด้านการตลาดทั้งหมดในเครือ มีทายาท บก. วิธิต คือ พิมพ์พิชา อุตสาหจิต ลูกสาวคนโต เข้ามาเป็นหัวเรือใหญ่บริหารกิจการต่อจากผู้เป็นพ่อ โดยเฉพาะการผลักดันคาแรกเตอร์การ์ตูนให้มีชีวิตและเป็น Soft Power ต่อยอดธุรกิจอย่างแข็งแกร่ง.