เทศกาลสงกรานต์ 5 วันนี้กำลังชี้ชะตาประเทศไทย 2 ด้าน ด้านหนึ่ง ลุ้นสัญญาณการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้คน อีกด้านหนึ่ง ลุ้นหายนะโควิด-19 ตามสมมุติฐานของกระทรวงสาธารณสุข ทั้งการแพร่เชื้อต่อเนื่องไปทุกจังหวัด จะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นสูงสุด 50,000 รายต่อวัน ผู้ป่วยปอดอักเสบจะเพิ่มขึ้น 3,000 ราย ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม จะมีผู้ป่วยปอดอักเสบใส่ท่อช่วยหายใจสูงสุด 900 ราย และมีผู้เสียชีวิตกว่า 100 รายต่อวัน
ยิ่งไปกว่านั้น คาดการณ์ฉากทัศน์ระดับแย่ที่สุด ในกรณีผ่อนคลายมาตรการป้องกันโรค ลดการแยกตัวกักตัว ฉีดวัคซีนทุกเข็มต่ำกว่า 200,000 โดสต่อวัน ช่วงหลังสงกรานต์ ตัวเลขผู้ติดเชื้ออาจเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 1-2 แสนราย ผู้ป่วยปอดอักเสบจะเพิ่มสูงสุดราว 6,000 ราย ช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ผู้ป่วยปอดอักเสบใส่ท่อช่วยหายใจสูงสุด 1,700 ราย และอาจมีผู้เสียชีวิตถึง 250 รายต่อวัน
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายภาคเอกชนยังยืนยันเรียกร้องให้รัฐผ่อนคลายมาตรการต่างๆ เพิ่มขึ้น เพื่อผลักดันเศรษฐกิจเดินหน้า หลังเจอวิกฤตยาวนานกว่า 2 ปี โดยล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกาศปรับกรอบประมาณการเศรษฐกิจไทยหรือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ปี 2565 เป็นขยายตัว 2.5-4% จากเดิม 2.5-4.5% และปรับเพิ่มอัตราเงินเฟ้อเป็น 3.5-5.5% จากเดิม 2-3% พร้อมจี้รัฐบาลรีบยกเลิกมาตรการ Test & GO เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว สร้างรายได้ในยามที่เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอื่นๆ มีข้อจำกัด
ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลควรต่ออายุโครงการคนละครึ่ง และโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เพื่อช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ของปี 2565
ขณะเดียวกัน หอการค้าไทยได้หารือกันและมีข้อสรุปให้รัฐบาลเร่งดำเนินการใน 6 เรื่องหลัก ได้แก่ 1. เร่งฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นทั่วประเทศเกิน 70% โดยเฉพาะประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป แล้วประกาศให้เป็นโรคประจำถิ่นโดยเร็วหลังสงกรานต์หรือในเดือนพฤษภาคม เพราะหากเริ่มเดือนกรกฎาคมตามแผนของรัฐบาลอาจไม่ทันกับการแข่งขันกับนานาประเทศ เพราะไทยพึ่งพิงรายได้จากภาคท่องเที่ยว ภาคการค้า และภาคการลงทุนกับต่างชาติ
2. อยากให้รัฐบาลขยายเวลาโครงการคนละครึ่ง เฟส 5 และเฟสถัดไปถึงสิ้นปีนี้ หลังจากเฟส 4 สิ้นสุดเดือนเมษายน และเพิ่มสมทบคนละครึ่งต่อคนเป็น 1,500 บาท เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศต่อเนื่อง
3. เรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ควรขยายเวลาการเก็บเต็มจำนวนและทยอยเก็บเพิ่มขึ้นเป็นขั้นบันได
4. รัฐบาลควรรีบขยายเพดานหนี้สาธารณะจาก 60% เป็น 70% เพื่อกู้เงินมากระตุ้นและพยุงเศรษฐกิจ เพราะขณะนี้เพดานหนี้ใกล้เต็ม 60% และเงินกู้เดิมเหลือเพียง 7 หมื่นล้านบาท ไม่เพียงพอ
5. การปรับขึ้นแรงงานขั้นต่ำ อยากให้เป็นการตัดสินใจร่วมในระดับจังหวัดในอัตราแตกต่างกัน แทนการประกาศใช้อัตราเดียวกันทั้งประเทศ และ 6. เร่งลดอุปสรรคจากกฎระเบียบที่ล้าสมัย และเสริมช่องทางการส่งออก
สาเหตุสำคัญเนื่องจากกำลังซื้อของคนไทยยังไม่พลิกฟื้นอย่างแท้จริง แม้เทศกาลสงกรานต์ปีนี้อาจคึกคักมากกว่าปีก่อน แต่ไม่ใช่จุดพีค โดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจงัดผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายในช่วงดังกล่าวมีแนวโน้ม “เหงาจัด” ประชาชนจะงดการเดินทางออกนอกพื้นที่ เนื่องจากปัญหาน้ำมันแพง สินค้าขึ้นราคาและยังมีความกังวลต่อการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ทำให้เม็ดเงินช่วงสงกรานต์จะลดลงจากปีก่อนหน้า 5.4% อยู่ที่ 1.06 แสนล้านบาท ต่ำสุดในรอบ 10 ปี
ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินเม็ดเงินการใช้จ่ายรวมในช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ ปี 2565 ของคนกรุงเทพฯ จะอยู่ที่ 23,400 ล้านบาท ลดลง 2.5% จากปีก่อน โดยคิดค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคน 5,600 บาท ลดลงต่อเนื่องจากปีก่อนและเม็ดเงินค่าใช้จ่ายปรับลดลงเกือบทุกประเภท ทั้งการซื้อสินค้า ค่าสาธารณูปโภค ชอปปิ้ง ค่าบริการและท่องเที่ยว
ดังนั้น หากมองในแง่ธุรกิจท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แม้กระทั่งตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ หลังศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด19 (ศบค.) ปลดล็อกให้ชาวต่างชาติไม่ต้องตรวจ RT-PCR ก่อนเดินทาง แต่ให้ตรวจ RT-PCR ในวันแรกที่เดินทางเข้ามาถึงประเทศไทย และตรวจ self-ATK อีกครั้งในวันที่ 5 เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา
ปรากฏว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากเดิม 8,000-9,000 คนต่อวัน เป็น 12,000-13,000 คนต่อวัน เนื่องจากกลุ่มต่างชาติที่นิยมเข้ามาเที่ยวสงกรานต์ในไทยเป็นชาวจีนและไต้หวัน แต่ทั้งสองประเทศยังไม่เปิดให้พลเมืองเที่ยวต่างประเทศ ส่วนนักท่องเที่ยวยุโรปมีเพียงเล็กน้อย เพราะช่วงนี้อยู่นอกฤดูการท่องเที่ยว (โลว์ซีซั่น) ของยุโรป
นอกจากนี้ ศบค. ยังกำหนดเงื่อนไขการจัดงาน โดยอนุญาตให้เล่นน้ำและจัดกิจกรรมตามประเพณีเท่านั้น เช่น รดน้ำดำหัว สรงน้ำพระ การละเล่น การแสดงทางวัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น ขบวนแห่ การแสดงดนตรี แต่ห้ามประแป้ง ปาร์ตี้โฟม ห้ามจำหน่ายและบริโภคแอลกอฮอล์ในพื้นที่จัดงาน ทำให้สงกรานต์ไร้แรงดึงดูด จนกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสารต้องตัดสินใจงดจัดเทศกาลประจำปี และยอมรอความชัดเจนเรื่องการประกาศโควิดเป็นโรคประจำถิ่นเรียบร้อยก่อน
ทว่า หน่วยงานภาครัฐอย่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ยังเชื่อมั่นว่า สถานการณ์ท่องเที่ยวช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ 5 วัน จะมีคนไทยเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศสูงถึง 3.34 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้หมุนเวียนมากถึง 11,000 ล้านบาท อัตราการเข้าพักเฉลี่ย 41% คึกคักมากกว่าปีที่ผ่านมา หลังรัฐบาลไม่มีมาตรการห้ามเดินทางข้ามภูมิภาค และให้จัดงานได้ภายใต้มาตรการรักษาระยะห่าง และ COVID Free Setting
สำหรับแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวใกล้กรุงเทพฯ เช่น ชลบุรี นครราชสีมา กาญจนบุรี พระนครศรีอยุธยา ประจวบคีรีขันธ์ นครนายก โดยจังหวัดที่มีสัดส่วนจำนวนนักท่องเที่ยว (พักค้าง) เกินกว่า 60% ได้แก่ ชลบุรี นครราชสีมา ภูเก็ต กาญจนบุรี อุดรธานี ประจวบคีรีขันธ์
ทั้งนี้ ททท. ยังเดินหน้าจัดงานเทศกาลเย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ ประจำปี 2565 เพื่อกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ 3 จังหวัดหลัก ได้แก่ “สงกรานต์วิถีใหม่ แต่งไทยเที่ยววัด” ณ พระอารามหลวง 10 แห่งในกรุงเทพฯ ได้แก่ วัดราชบพิธฯ วัดสระเกศ วัดกัลยาณมิตร วัดอรุณ วัดพระเชตุพน วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ วัดสุทัศน์ วัดระฆังโฆสิตาราม วัดราชนัดดา และวัดประยุรวงศาวาส งาน Songkran Music Heritage Festival 2022 ใน จ.สงขลา และพระนครศรีอยุธยา
ประเทศไทยคงต้องวัดกันระหว่าง “เศรษฐกิจ” กับ “โควิด” จะหาจุดสมดุลได้หรือไม่ เพื่ออยู่กับโควิดอย่างมีสติ ไม่มีการแพร่ระบาดและผลักดันเศรษฐกิจต่อไปได้ด้วย.