วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 21, 2024
Home > Cover Story > “ลิซ่า” ปลุกเคานต์ดาวน์ สินค้าโหนกระแสยาวๆ

“ลิซ่า” ปลุกเคานต์ดาวน์ สินค้าโหนกระแสยาวๆ

กระแสลิซ่า แบล็คพิงก์ (BLACKPINK) ร้อนแรงเดือดๆ อีกครั้ง เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พิพัฒน์ รัชกิจประการ เผยไอเดียทาบทาม ลลิษา มโนบาล ศิลปินเคป๊อปสายเลือดไทยชื่อดังระดับโลก และ อันเดรอา โบเชลลี นักร้องโอเปราชื่อดังของโลก ร่วมงานเคานต์ดาวน์ปีใหม่ 2022 หวังปลุกอีเวนต์ระดับโลกพลิกสถานการณ์การท่องเที่ยวไทย

ตามแผนของพิพัฒน์ตั้งเป้าหมายทุ่มทุนงบกว่า 500-600 ล้านบาท แบ่งเป็นงบประมาณของรัฐบาล 200 ล้านบาท และงบจากเอกชนอีก 300-400 ล้านบาท โดยติดต่อกับผู้ประสานงานแล้ว และพิจารณาตารางงานเบื้องต้นมีความเป็นไปได้ แต่ต้องหารือกำหนดรายละเอียดที่ชัดเจนต่อไป

ส่วนประเด็นค่าใช้จ่ายที่หลายคนท้วงติงค่อนข้างสูงนั้น กระทรวงการท่องเที่ยวฯ พยายามชี้ให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย ซึ่งมั่นใจจะคุ้มค่ามาก ทั้งในเชิงสังคมและเศรษฐกิจ เพราะการจัดงานครั้งนี้ต้องการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ สร้างรายได้เข้าประเทศเพิ่มขึ้นและปลุกกำลังใจให้คนไทยที่ต้องอยู่กับการระบาดโควิด-19 มาเกือบ 2 ปี

เบื้องต้น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) วางตัวลิซ่า แบล็คพิงก์ ร่วมเคานต์ดาวน์ในจังหวัดภูเก็ต เพื่อจัดอีเวนต์ระดับโลกโปรโมตภูเก็ตในฐานะเมืองท่องเที่ยวระดับโลก (World Class Destination)

ส่วนอันเดรอา โบเชลลี ศิลปินที่เคยแสดงคอนเสิร์ตเรียกน้ำตาจากคนทั่วโลกที่มหาวิหารดูโอโม โดยแสดงคอนเสิร์ต Music For Hope ส่งกำลังใจ ความรัก การเยียวยา และความหวังแก่ชาวอิตาลี ผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดโควิด-19 ในวันอีสเตอร์ ซึ่งถือเป็นคอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์ที่ผู้คนทั่วโลกพูดถึง จะร่วมเคานต์ดาวน์ที่กรุงเทพมหานคร ท่ามกลางฉากหลังเป็นวัดพระแก้วและสนามหลวง อวดประเทศไทยต่อสายตาคนทั่วโลก

แน่นอนว่า กระแสของน้องลิซ่าสามารถสร้างแรงดึงดูดกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ วัยรุ่น วัยทำงาน และขยายไปยังกลุ่มอื่นๆ จากที่ไม่เคยรู้จัก ได้รู้จัก ส่งผลให้ธุรกิจต่างๆ พยายามดึงนักร้องสาวเข้ามาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ และพรีเซ็นเตอร์ รวมถึงปลุกความสนใจจากไลฟ์สไตล์หรือชีวิตทุกแง่มุมของเธอ ผลักดันรายได้ ท่ามกลางวิกฤตโควิด

เช่น กรณีค่ายโรงภาพยนตร์อย่างเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป และเครือเอสเอฟ ต่างงัดกลยุทธ์ส่งภาพยนตร์เรื่อง BLACKPINK : The Movie เข้าฉายในโรงภาพยนตร์เมื่อวันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อเอาใจบลิ๊งค์ชาวไทยที่เป็นแฟนคลับตัวยงของ 4 สาว ซึ่งประกอบด้วย จีซู เจนนี่ โรเซ่ และ ลิซ่า โดยต้นสังกัด YG Entertainment เองวางกลยุทธ์ให้เป็นของขวัญชิ้นพิเศษให้บลิ๊งค์แฟนคลับและเป็นหนึ่งในผลงานของโปรเจกต์ 4+1 PROJECT ฉลองครบรอบ 5 ปีของวง BLACKPINK

เนื้อหาของหนังเน้นการบอกเล่าความเป็นตัวตนของแต่ละคน มีบทสัมภาษณ์พิเศษและฟุตเทจคอนเสิร์ตที่เน้นย้ำถึงการเป็นศิลปินเกิร์ลกรุ๊ป K-POP ที่ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เดบิวต์ (Debut) หรือการเปิดตัวสู่สาธารณชนครั้งแรก จากเด็กฝึกเปลี่ยนเป็นศิลปินเต็มตัว อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2016 พร้อมกับซิงเกิลอัลบัม Square One โดยมีซิงเกิลเปิดตัวอย่าง “Whistle” และ “Boombayah” เติบโตอย่างก้าวกระโดด

มีช่วงการแสดงคอนเสิร์ต “THE SHOW” (2021), “IN YOUR AREA” (2018) และเพลงฮิตอีก 10 กว่าเพลง ซึ่ง BLACKPINK : The Movie เข้าฉายในโรงภาพยนตร์กว่า 100 ประเทศทั่วโลก

แหล่งข่าวจากบริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การเปิดฉายภาพยนตร์เรื่อง BLACKPINK : The Movie ได้รับกระแสตอบรับดีมาก โดยเฉพาะโรงระบบ Screen X ซึ่งเป็นรูปแบบโรงภาพยนตร์แบบแรกของโลกที่ใช้ระบบเครื่องฉายหลายตัว (Multi-Projection System) ทำให้เสมือนมี 3 จอภาพภายในโรงเดียว คือ หน้าจอด้านหน้า และฉายลงเต็มกำแพงด้านซ้ายและขวาของผู้ชม เป็นเทคโนโลยีใหม่จาก CJ บริษัทโรงภาพยนตร์มัลติเพล็กซ์ที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ ทำให้ผู้ชมเหมือนอยู่ในเหตุการณ์ด้วย โดยเฉพาะช่วงการแสดงคอนเสิร์ต

ปัจจุบันเมเจอร์ฯ จัดฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ในกว่า 100 สาขา ทั้งระบบ 2D 4DX และ Screen x จำนวน 3 รอบต่อวัน และคาดว่าจะเปิดฉายถึงปลายเดือนตุลาคม

ด้านสตาร์บัคส์ ประเทศไทย เปิดจำหน่ายสินค้าคอลเลกชันพิเศษที่ออกแบบร่วมกับ BLACKPINK ผ่านร้านค้าออนไลน์อย่างเป็นทางการของสตาร์บัคส์ หรือ Starbucks Official Store บน Shopee ภายใต้คอนเซ็ปต์ Spark in You สะท้อนแรงบันดาลใจจากความตั้งใจและความพยายามของเยาวชนที่มุ่งทำตามหัวใจและสานฝันให้เป็นจริง

อย่างไรก็ตาม ที่เห็นชัดเจนและมีการผูกสัญญาระยะยาวน่าจะเป็นค่ายเดนทิสเต้ ซึ่งตัดสินใจเจรจาดึง ลิซ่า แบล็คพิงก์ มาเป็น Brand Ambassador สินค้านวัตกรรมใหม่ DENTISTE’ Anticavity Max Fluoride เพื่อสื่อสารรูปแบบยาสีฟันชนิดพลิกโฉมจากเดิมอย่างสิ้นเชิง คือ การแปรงฟันแห้งที่ไม่ต้องจุ่มน้ำ ให้ความรู้สึกเหมือนการเคี้ยวหมากฝรั่งทำความสะอาดช่องปากอย่างทั่วถึง และเร่งเดินหน้าแผน Global Campaign ขยายฐานตลาดโลก

เภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล กรรมการผู้จัดการ ผู้นำเข้าและผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากระดับพรีเมียม “เดนทิสเต้” (DENTISTE’) กล่าวว่า เดนทิสเต้เลือก ลิซ่า เพื่อให้ ลิซ่า เป็นต้นแบบเปลี่ยนพฤติกรรมการแปรงฟันและต้องการต่อยอดการรุกตลาดต่างประเทศ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของเดนทิสเต้มีวางจำหน่ายใน 25 ประเทศทั่วโลก และทำยอดขายดีมากที่ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งลิซ่าเป็นศิลปินในสังกัด YG Entertainment ประเทศเกาหลี มีอัลบัมเดี่ยวชุดแรก “LISA SOLO” ที่สร้างกระแสหลังจากปล่อยภาพออกมาเพียงไม่นาน แฮชแท็ก #SoloistLisa ติดเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับ 1 ของโลกและติดอันดับ 1 ใน 7 ประเทศทั่วโลก จึงเป็นโอกาสดีมากที่จะต่อยอดผลิตภัณฑ์ในหลายๆ ประเทศ ตอกย้ำความเป็น Global Brand มากขึ้น

เดนทิสเต้ยังทุ่มทุนผลิตภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ LISA Confident Smile เน้นคอนเซ็ปต์เรื่องการยิ้มอย่างมั่นใจ (Confident Smile) ตอบรับกับเอกลักษณ์ของนักร้องสาว นั่นคือ “รอยยิ้ม” สังเกตได้จากทุกครั้งที่ลิซ่าปรากฏตัว เธอจะมาพร้อมกับรอยยิ้มที่สวย ฟันขาว มีความมั่นใจทุกครั้งที่ยิ้ม เป็นบุคลิกที่ดูพรีเมียมสอดคล้องกับ DENTISTE’ Anticavity Max Fluoride พร้อมจัดทำแปรงสีฟันรุ่นพิเศษ สินค้า รุ่นลิซ่า ที่มีตัวด้ามสีชมพู และ ชุดยาสีฟันแปรงสีฟัน Limited Edition เพียง 25,000 ชุด ใน Pocket Pro สีชมพู

“การดึงลิซ่าร่วมเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ผลตอบรับดีมาก ดีเกินคาด เพราะแบรนด์เราเปิดในช่วงจังหวะที่ลิซ่าเพิ่งเปิดซิงเกิลแรก โดยหลังเปิดตัวช่วงกลางเดือนกันยายนจนถึงล่าสุด ยอดขายของผลิตภัณฑ์เดนทิสเต้เติบโตเพิ่มขึ้นทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะยาสีฟันแบบแห้ง ชนิดสวนกระแสเศรษฐกิจยุคปัจจุบันที่เจอผลกระทบโควิด แทนที่แบรนด์ต้องสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายหลายครั้ง แต่ลิซ่าทำให้เราสื่อสารเพียงครั้งเดียว สามารถสร้างการรับรู้และยอดขายพุ่งถล่มทลาย”

ขณะเดียวกัน บริษัทวางแผนต่อยอดกลยุทธ์ต่อเนื่อง ทั้งการถ่ายภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ โดยวายจีฯ เป็นผู้ถ่ายทำที่ประเทศเกาหลี เตรียมจัดกิจกรรมแฟนมีตติ้ง (Fan Meeting) หรือมีตแอนด์กรี๊ดช่วงกลางปี 2565 พร้อมๆ กับกิจกรรมอีเวนต์ต่างๆ ตามห้างสรรพสินค้า การผลิตสินค้า Special Set กระจายสื่อโฆษณาตามรถไฟฟ้า บิลบอร์ดและปูพรมสแตนดี้ตามศูนย์การค้าต่างๆ

ดังนั้น ต้องยอมรับพลังแม่เหล็กของซูเปอร์สตาร์สาว ชนิดที่ว่า พูดถึงสิ่งใดสิ่งนั้นฮอตฮิตทันที ไม่ว่าจะเป็นอาหารโปรด “ลูกชิ้นยืนกิน” ที่มีน้ำจิ้มพริกเผารสเด็ด หลังสถานีรถไฟบุรีรัมย์ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ ที่แม่เคยพาเธอไปกินตอนเด็ก เพราะเพียงชั่วข้ามคืนหลังลิซ่ากล่าวถึงเมนูนี้ในการสัมภาษณ์สื่อ ปรากฏว่า ร้านลูกชิ้นยืนกิน ลูกชิ้นทอด บริเวณหอนาฬิกาหน้าสถานีรถไฟในบุรีรัมย์ขายดิบขายดีแบบฉับพลัน

นอกจากนี้ ส่งผลให้งานเทศกาลลูกชิ้นยืนกินประจำปีของ จ. บุรีรัมย์ จัดโดยสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดบุรีรัมย์ ร่วมกับสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จังหวัดบุรีรัมย์ การรถไฟแห่งประเทศไทย สาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์ และสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวอย่างล้นหลาม แถมมีออเดอร์ส่งไปทั่วประเทศ

สำคัญที่สุด กระแสลิซ่าแนวโน้มยังร้อนแรงไปได้อีกยาวๆ ด้วย

ใส่ความเห็น