วันพุธ, ธันวาคม 4, 2024
Home > Cover Story > “เจ็ทส์ ฟิตเนส” ปรับตัวรุกตลาดองค์กร ใช้เทคโนโลยีก้าวข้ามความท้าทายยุคโควิด

“เจ็ทส์ ฟิตเนส” ปรับตัวรุกตลาดองค์กร ใช้เทคโนโลยีก้าวข้ามความท้าทายยุคโควิด

ฟิตเนสเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ต้องปิดให้บริการชั่วคราวตามข้อกำหนดของภาครัฐในระหว่างการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่การแพร่ระบาดระลอกแรกจนถึงระลอกล่าสุดที่ฟิตเนสต้องปิดให้บริการมาตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน 2564 และเพิ่งได้รับการอนุญาตให้กลับมาเปิดได้อีกครั้งในวันที่ 1 ต.ค. ส่งผลให้ผู้ประกอบการฟิตเนสต้องปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ขณะที่บางรายอาจต้องปิดกิจการถาวร โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการรายเล็กที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด

ถึงแม้ว่าจะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตโควิด แต่กระนั้นฟิตเนสยังคงเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มจะกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสามารถกลับมาเปิดให้บริการได้ตามปกติ เพราะการแพร่ระบาดของโควิดที่เกิดขึ้นทำให้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพและออกกำลังกายมากขึ้น เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ซึ่งถือเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการฟิตเนสในการปรับตัวและมองหานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อก้าวข้ามความท้าทายและข้อจำกัดต่างๆ และพร้อมเดินหน้าหลังการแพร่ระบาดของโควิดคลี่คลายลง

เจ็ทส์ ฟิตเนส (jetts fitness) ฟิตเนสสัญชาติออสเตรเลีย ที่ทำการตลาดด้วยจุดขาย “24 hour fitness” เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการฟิตเนสที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิดเช่นกัน ทำให้ต้องเร่งปรับกลยุทธ์เพื่อก้าวข้ามวิกฤตครั้งนี้ โดยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป รวมถึงการรุกตลาดองค์กรเพื่อรับกับกระแส Corporate Wellness ที่กำลังมาแรง

มร.เดน แคนท์เวล กรรมการผู้จัดการ เจ็ทส์ ฟิตเนส ประเทศไทย เปิดเผยกับ “ผู้จัดการ 360” ว่า “เราเชื่อมั่นว่าไม่มีอะไรสามารถทดแทนประสบการณ์การออกกำลังกายในฟิตเนสคลับได้ สำหรับกลุ่มคนรักการออกกำลังกายและสมาชิกฟิตเนสต่างเข้าใจดีว่า การออกกำลังกายในรูปแบบอื่นยังไม่สร้างแรงจูงใจได้เท่ากับการออกกำลังกายในคลับ เนื่องจากฟิตเนสเพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์ และเต็มไปด้วยบรรยากาศที่สร้างแรงจูงใจในการสร้างสุขภาพที่ดี เราจึงเชื่อว่าอุตสาหกรรมฟิตเนสมีแนวโน้มจะกลับมาเติบโตหลังจากกลับมาเปิดได้อีกครั้ง ซึ่งเห็นได้จากการกลับมาของสมาชิกและการสมัครสมาชิกใหม่ที่เพิ่มขึ้นในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา หลังจากการแพร่ระบาดโควิดระลอก 2 ในไทย”

การปรับตัวในช่วงล็อกดาวน์นั้น เจ็ทส์ ฟิตเนส ปรับมาให้บริการในรูปแบบคลาสออนไลน์อย่าง “Jetts Workout at Home” เพื่อให้สมาชิกและผู้ที่สนใจได้ออกกำลังกายผ่านคลาสออนไลน์ที่หลากหลาย ทั้งบอดี้คอมแบท บอดี้ปั๊มป์ โยคะ ซึ่งพบว่ามีผู้เข้าร่วมกว่า 500,000 คนต่อเดือน โดยมีผู้เข้าชมสูงสุดในเวลา 17.00 น. ในวันธรรมดา และ 15.00 น. ในช่วงสุดสัปดาห์

นอกจากคลาสออนไลน์ที่สามารถเข้าร่วมได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายแล้ว ยังมีโปรแกรมเทรนเนอร์ส่วนตัวออนไลน์เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับสมาชิกของฟิตเนส ซึ่งได้รับการตอบรับทั้งจากสมาชิกที่มีแพ็กเกจอยู่แล้วและสมาชิกที่สมัครโปรแกรมเทรนเนอร์ส่วนตัวออนไลน์โดยเฉพาะ โดยมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 500 บาทต่อครั้ง

ไม่เพียงเท่านั้น เจ็ทส์ ฟิตเนส ยังเปิดเกมรุกตลาดองค์กรมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยการเพิ่มทีมงานสำหรับลูกค้าองค์กรโดยเฉพาะ เพื่อรับกับกระแส Corporate Wellness ที่องค์กรต่างๆ หันมาให้ความสำคัญและดูแลสุขภาพของพนักงานกันมากขึ้น

ซึ่ง มร.เดน ได้เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาโปรแกรมดูแลสุขภาพสำหรับองค์กร (Corporate Wellness Program) ของเจ็ทส์ ฟิตเนส ได้รับความนิยมมากขึ้น มีองค์กรชั้นนำจำนวนมากทั้งที่เป็นบริษัทนานาชาติและองค์กรไทยได้เข้ามาทำงานร่วมกับเจ็ทส์ ฟิตเนส ในการสร้างโปรแกรมออกกำลังกายออนไลน์สำหรับพนักงานในองค์กร เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมดูแลสุขภาพของพนักงาน และเป็นการเสริมสร้างปฏิสัมพันธ์ภายในองค์กรในช่วง Work from Home อีกด้วย

สำหรับลูกค้าองค์กรถือเป็นตลาดที่เจ็ทส์ ฟิตเนส ให้ความสำคัญมาโดยตลอดตั้งแต่เริ่มเข้ามาทำการตลาดในเมืองไทย โดยมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 10-20% ของรายได้ทั้งหมด ปัจจุบันลูกค้าองค์กรของเจ็ทส์ ฟิตเนสอยู่ที่ประมาณ 200 แห่ง ซึ่งโปรแกรมสำหรับลูกค้าองค์กรมีทั้งแบบการให้ส่วนลดสำหรับสมาชิกและออกแบบคลาสให้ตรงกับพนักงาน

อาจกล่าวได้ว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นจุดเปลี่ยนของธุรกิจฟิตเนส เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปทำให้เกิดการออกกำลังกายในรูปแบบใหม่ที่เรียกกันว่า “การออกกำลังกายแบบไฮบริด” ที่ผสานการออกกำลังกายแบบออนไลน์และการเข้ายิมตามปกติไว้ด้วยกัน ซึ่งมีแนวโน้มว่าการออกกำลังกายแบบไฮบริดนี้จะเป็น new normal สำหรับธุรกิจฟิตเนสต่อไป เพราะมีความยืดหยุ่นสูง และใช้ได้ทุกสถานการณ์

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เจ็ทส์ ฟิตเนส หันมาพัฒนาแอปพลิเคชันที่ชื่อว่า “Jetts Fitness Thailand” ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองเทรนด์สุขภาพและไลฟ์สไตล์ของกลุ่มคนรักการออกกำลังกายที่หันมาออกกำลังกายผ่านทางออนไลน์กันมากขึ้น โดยได้เปิดตัวไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา

ในแอปพลิเคชันประกอบไปด้วยวิดีโอคลาสออกกำลังกายต่างๆ ทั้งบอดี้เวท โยคะ คลาสแดนซ์ ตารางและการจองคลาส ข้อมูลข่าวสาร เคล็ดลับเกี่ยวกับสุขภาพ เทคนิคการออกกำลังกาย และโปรโมชั่นพิเศษสำหรับผู้ใช้แอป รวมถึงสามารถค้นหาสาขาของเจ็ทส์ ฟิตเนส ที่ใกล้ที่สุดได้ เพื่อช่วยวางแผนการออกกำลังกายให้ง่ายและสะดวกมากกว่าเดิม ซึ่งแอปพลิเคชันดังกล่าวสามารถใช้ได้ทั้งผู้ที่เป็นสมาชิกของเจ็ทส์ ฟิตเนส และบุคคลทั่วไปก็สามารถเข้าถึงโปรแกรมการออกกำลังกายได้เช่นกัน

“แอปพลิเคชัน Jetts Fitness Thailand ออกมาเพื่อให้คนรักสุขภาพออกกำลังกายได้ทุกที่ทุกเวลา ในฐานะผู้นำฟิตเนสอันดับหนึ่ง และเติบโตเร็วที่สุดในไทย เรายังเดินหน้าพัฒนาและนำเสนอบริการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ในยุคดิจิทัล ซึ่งที่ผ่านมาเราพบว่ามีความต้องการออกกำลังกายผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้น สะท้อนจากยอดผู้เข้าร่วมคลาสออนไลน์ของเจ็ทส์ ฟิตเนส ที่เพิ่มขึ้นกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ในช่วงการล็อกดาวน์ครั้งล่าสุด” มร.เดนกล่าวเพิ่มเติม

เจ็ทส์ ฟิตเนส นับเป็นผู้เล่นในตลาดฟิตเนสที่เติบโตเร็วที่สุดในประเทศไทย ปัจจุบันมีจำนวนสาขารวมทั้งสิ้น 37 สาขา กระจายอยู่ในกรุงเทพฯ นนทบุรี พัทยา นครราชสีมา เชียงใหม่ ภูเก็ต และหัวหิน หลังการระบาดของโควิดระลอกแรก สมาชิก 73% ของเจ็ทส์ ฟิตเนสกลับมาใช้บริการภายใน 1 เดือนหลังฟิตเนสกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง และในช่วงมกราคมที่ผ่านมา เจ็ทส์ ฟิตเนส สาขาในเชียงใหม่ โคราช และภูเก็ต ยังคงเปิดให้บริการได้ตามปกติ โดยมีสมาชิกกว่า 85% ที่ยังคงมาออกกำลังกายที่ฟิตเนส

ซึ่งแสดงให้เห็นว่าธุรกิจฟิตเนสยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดและสามารถเติบโตต่อไปได้ ดังนั้นเจ็ทส์ ฟิตเนสจะยังคงเดินหน้าขยายสาขาตามแผนที่วางไว้ โดยจะขยายสาขาใหม่เพิ่มอีกหนึ่งสาขาภายในปีนี้ หลังจากที่เปิดคลับที่สยามสแควร์วัน และอมอรินี่ ไปเมื่อต้นปี 2564 ที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายจะขยายสาขาให้ครบ 100 สาขา ในอีก 3 ปี

แม้ว่าวิกฤตโควิด-19 จะสร้างผลกระทบอย่างหนักหน่วงต่อธุรกิจฟิตเนส แต่ผู้ประกอบการยังคงเชื่อมั่นว่าหลังจากที่สามารถกลับมาเปิดให้บริการได้ ดีมานด์จะกลับมาอีกครั้งและมีแนวโน้มจะมากขึ้นกว่าเดิม

ใส่ความเห็น