นีโอ คอร์ปอเรท บริษัทแบรนด์คนไทยที่อยู่เคียงข้างคนไทยมายาวนานกว่า 33 ปี ชูมาตรฐานการผลิต ผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ ตอกย้ำความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภคด้วยยอดขาย “ซักผ้าแบบน้ำ” บริษัทไทยยอดขายอันดับ 1
ปัทมา ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคชั้นนำสัญชาติไทย ภายใต้แบรนด์ ไฟน์ไลน์, ดีนี่, บีไนซ์, ทรอส, เอเวอร์เซ้นส์, วีไวต์, สมาร์ท และ โทมิ เปิดเผยว่า นีโอ คอร์ปอเรท ได้ทุ่มเม็ดเงินและความร่วมมือต่างๆ ภายใต้บิ๊กแคมเปญ “NEO for Thais นีโอ เคียงข้างคนไทย พ้นภัยโควิด”
อีกทั้งยังจัดตั้ง R&D Center โดยระดมผู้เชี่ยวชาญระดับหัวกะทิในแต่ละส่วนงาน รวมทั้งจับมือกับคู่ค้าระดับโลก พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรม เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคให้ดีที่สุด และยกระดับมาตรฐานการผลิตระดับสูง ตามเจตนารมณ์ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ ปีแรกจนเข้าสู่ปีที่ 33 สร้างความเชื่อมั่นเพื่อส่งต่อผลิตภัณฑ์คุณภาพให้กับคนไทยในยุค New Normal
ล่าสุด บริษัทฯ ได้พัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ซักผ้าแบบน้ำที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างโดดเด่นเข้าสู่ตลาด ทั้งซักผ้าผู้ใหญ่และซักผ้าเด็ก เช่น “ไฟน์ไลน์” (Fineline) “ซักผ้าสูตรเข้มข้น” สำหรับซักกลางคืน มีเทคโนโลยี Fx-Tech ลิขสิทธิ์เฉพาะจากไฟน์ไลน์ ช่วยกำจัดกลิ่นอับชื้นที่ต้นเหตุ เพื่อเสริมทัพและตอกย้ำการที่ ไฟน์ไลน์ แบรนด์ของคนไทยแบรนด์แรกที่สามารถขึ้นเป็นอันดับ 2 ในตลาดผลิตภัณฑ์ซักผ้าแบบน้ำ
ขณะเดียวกัน “ดีนี่” (D-nee) ผู้นำผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดเพื่อลูกน้อย ส่งผลิตภัณฑ์ “ซักผ้าเด็กสูตรออร์แกนิค” มีส่วนผสมของออร์แกนิก อโลเวร่า ช่วยขจัดคราบหลัก 6 ชนิดอย่างอ่อนโยน ตอกย้ำความเป็นที่ 1 ในตลาดผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็กอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 และเป็นอันดับ 3 ในตลาดผลิตภัณฑ์ซักผ้าแบบน้ำ ส่วน “สมาร์ท” (Smart) นำเสนอผลิตภัณฑ์ซักผ้าสูตรเข้มข้นเข้าสู่ตลาด โดยมีจุดขายที่โดดเด่น ในเรื่องการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้ถึง 99.9% โดยได้รับการพิสูจน์จากสถาบันที่มีชื่อเสียงระดับโลก
ทั้งนี้ เทรนด์ของผู้บริโภคหันมานิยมผลิตภัณฑ์ซักผ้าแบบน้ำสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมาทดแทนผงซักฟอก ปัจจุบันซักผ้าแบบน้ำมีสัดส่วนตลาดมากถึง 33% จากเดิมที่ 21% ในปี 2558 หมายถึงมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นถึง 12% ในเวลาเพียงแค่ 6 ปี โดยในครึ่งปีแรกของปี 2564 ตลาดผลิตภัณฑ์ซักผ้าแบบน้ำมีมูลค่ามากว่า 3,000 ล้านบาท
“นีโอ คอร์ปอเรท ให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้าและจุดขายที่แตกต่างจากคู่แข่ง รวมทั้งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ศักยภาพของบริษัทในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ ของทุกหน่วยงาน รวมถึงการทำงานแบบ Teamwork ความร่วมมือของคู่ค้า ทำให้สามารถรับมือกับตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ไฟน์ไลน์ มีส่วนแบ่งการตลาดขึ้นเป็นอันดับ 2 และดีนี่มีส่วนแบ่งเป็นอันดับ 3 ทำให้ นีโอ คอร์ปอเรท เป็นบริษัทไทยที่มียอดขายสูงสุดในตลาดซักผ้าแบบน้ำ” ปัทมากล่าวย้ำ
บริษัทฯ ยังมั่นใจด้วยว่า ปี 2564 กลุ่มผลิตภัณฑ์ซักผ้าแบบน้ำจะบรรลุเป้าหมายยอดขายเติบโตที่ 10% จากครึ่งปีแรกเติบโตแล้วถึง 12% โดยเฉพาะช่องทาง Online e-commerce เติบโตสูงถึง 240% และตั้งเป้าหมายปี 2565 จะเติบโตต่อเนื่อง 20%
อย่างไรก็ตาม ปีนี้ถือเป็นปีที่เศรฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด ทำให้บริษัทฯ ต้องเพิ่มความรัดกุมในการวางแผนการตลาดอย่างครอบคลุม 360 องศา โดยคำนึงถึงความต้องการของผู้บริโภคที่ปรับเปลี่ยนไป จึงพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์แอนตี้แบคทีเรียเพิ่มเข้ามาในตลาด ทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็กและซักผ้าผู้ใหญ่ เร่งสร้างความเป็น Top of Mind Brand ของ ดีนี่ และ ไฟน์ไลน์ ทั้งทาง Online และ Offline
สำหรับ Online ได้เพิ่มการสื่อสารและการจัดจำหน่ายในช่องทาง e-commerce เพื่อรองรับสภาวะที่ผู้บริโภคต้องลดการออกจากบ้าน ทั้งช่องทางหลักและช่องทางใหม่ ๆ ของคู่ค้า ทั้ง Modern Trade และ Traditional Trade ที่ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการ Live ขายสินค้าทาง Facebook Fanpage ในช่องทางของบริษัทฯ เป็นประจำทุกเดือน รวมถึงการเพิ่มโอกาสในการทดลองใช้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ผ่านการแจกผลิตภัณฑ์ตัวอย่าง
ส่วน Offline ยังคงขยายช่องทางการจัดจำหน่าย ส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง และเน้นปรับการจัดตกแต่งพื้นที่หน้าร้านให้โดดเด่น ในทุกประเภทร้านค้า เพื่อสนับสนุนคู่ค้าอย่างเต็มที่
เหนือสิ่งอื่นใด เราต้องการเติบโตไปพร้อม ๆ กับสังคมไทย จึงเป็นที่มาของแคมเปญ “NEO for Thais นีโอ เคียงข้างคนไทย พ้นภัยโควิด” เนื่องจากวิกฤตครั้งนี้สร้างความบอบช้ำให้คนไทยอย่างมาก
นีโอ คอร์ปอเรท จึงขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งต่อกำลังใจสู่สังคม ทั้งในส่วนผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดในเครือบริษัทนีโอฯ และเงินช่วยเหลือ ให้แก่โรงพยาบาล และชุมชน รวมถึงกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบ ไปแล้วทั้งสิ้นกว่า 100 แห่ง โดยทำมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน
ในปี 2563 บริษัทร่วมสนับสนุนความช่วยเหลือให้สถานพยาบาล โรงพยาบาลสนามและองค์กรต่าง ๆ ยอดบริจาคเงินและผลิตภัณฑ์ทั้งสิ้น 7 ล้านบาท และในปี 2564 ตั้งแต่เดือนมกราคม-กรกฎาคม ร่วมบริจาคเงินและผลิตภัณฑ์ทั้งสิ้น 13 ล้านบาท
โดยแบรนด์ ดีนี่ ไฟน์ไลน์ และ สมาร์ท ได้ทำโครงการร่วมกับเพจอีจัน สนับสนุน “กล่องกำลังใจ” ซึ่งบรรจุผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นในยุค New Normal ของเครือ นีโอ คอร์ปอเรท ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 นอกจากนี้ แบรนด์ สมาร์ท ยังร่วมนำรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สูตรแอนตี้แบคทีเรียบริจาคเพื่อช่วยเหลือครอบครัวที่รับผลกระทบจากโควิด ภายใต้โครงการ “เด็กแรกเกิดต้องรอด” ให้แก่มูลนิธิโรงพยาบาลเด็ก ทั้งนี้ นีโอ คอร์ปอเรท ยังมีแผนที่จะช่วยเหลือสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของมาตรการการจัดการในสถานการณ์โควิดนี้ ทางกลุ่ม บริษัทฯ มีมาตรการการจัดการที่เข้มข้น ในแง่บุคลากร รวมเพื่อนร่วมงานและบุคคลภายนอกที่จำเป็นต้องมาติดต่อ โดยมีการคัดกรองก่อนเข้าออกบริษัท ตรวจวัดอุณหภูมิ สอบถามข้อมูล มีการฆ่าเชื้อก่อนเข้าพื้นที่ จัดพื้นที่รักษาระยะห่างอย่างเหมาะสม รวมไปถึงการมอบชุดดูแลสุขอนามัยอย่างเพียงพอให้กับผู้ร่วมงานทุกคน
ในส่วนพื้นที่การปฏิบัติงาน นอกจากการรักษาสุขอนามัยพื้นฐานในยุค New Normal แล้ว ในกระบวนการผลิต ยังมีการใช้นวัตกรรมหุ่นยนต์ (Robotic system) เพื่อลดการสัมผัส ฉีดพ่นฆ่าเชื้อในทุกขั้นตอนจนไปถึงการจัดเก็บสินค้าของคลังสินค้า ซึ่งใช้ระบบนวัตกรรมด้านการจัดเก็บและการจ่ายสินค้าอัตโนมัติ Automated Storage and Retrieval System (AS/RS) ระบบที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด ติด 1 ใน 3 ที่บริษัทชั้นนำทั่วโลกเลือกใช้ นอกจากนี้คลังสินค้าของบริษัท ยังใช้มาตรการเข้มข้นขั้นสูงสุดกับการจัดส่งสินค้าออกสู่ร้านค้า เพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการขนส่งสินค้ามีความมั่นใจในความปลอดภัยกับมาตรฐานของบริษัท
บริษัทฯ ยังกำหนดนโยบายสร้างจิตสำนึกการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด โดยให้ผู้ร่วมงาน Work from Home (WFH) รณรงค์ขอความร่วมมือ งดออกนอกบ้านโดยไม่จำเป็น งดเดินทางไปต่างจังหวัด และมีการจัดการตรวจหาเชื้อโควิด-19 แบบ Rapid Antigen Test เป็นประจำ รวมถึงจัดสวัสดิการในเรื่องการประกันโควิด-19 ด้วย