วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 21, 2024
Home > Cover Story > โควิดลามหนัก ธุรกิจพ่นฆ่าเชื้อโตพรวด 60%

โควิดลามหนัก ธุรกิจพ่นฆ่าเชื้อโตพรวด 60%

ปฏิบัติการฉีดพ่นสารฆ่าเชื้อไวรัสกลายเป็นธุรกิจสุดฮอตจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ยังหนักหนาสาหัสและลุกลามไปทุกสถานที่ ผู้ให้บริการหลายรายต้องปรับเพิ่มทีมงานมากขึ้น บางเจ้าลุยตลอด 24 ชั่วโมง รองรับความต้องการที่พุ่งพรวดกว่าเท่าตัว โดยเฉพาะช่วงไม่กี่เดือนทำรายได้เพิ่มขึ้นกว่าปีก่อน 50-60%

ที่สำคัญ จำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศไทยยังมีแนวโน้มทำนิวไฮ จะไม่ใช่แค่ระดับ 20,000 คนต่อวัน โดยล่าสุด รศ.ดร.นวลจันทร์ สิงห์คราญ นักวิชาการคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ออกมาวิเคราะห์ผลตามแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ พบว่า ยอดการติดเชื้อโควิด-19 ในไทยมีแนวโน้มแตะ 1 ล้านราย ในวันที่ 19 สิงหาคมนี้ และจะแตะ 4 ล้านรายในช่วงสิ้นเดือนตุลาคม 2564

ขณะเดียวกัน ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูล ว่า เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2564 สหประชาชาติ (ยูเอ็น) ประกาศว่าโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาได้กระจายไป 98 ประเทศทั่วโลก และกำลังสร้างปัญหาใหญ่แก่มวลมนุษยชาติ เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีพฤติกรรมหลายอย่างแตกต่างจากเดิม และเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมออกมาย้ำเตือนอีกครั้งถึงโควิดสายพันธุ์เดลตามีความรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ แพร่กระจายไปแล้วกว่า 132 ประเทศ

ยิ่งไปกว่านั้น เฉลี่ยใน 1 สัปดาห์มีคนติดเชื้อเกือบ 4 ล้านคน ในบางพื้นที่มีผู้ติดเชื้อจากสายพันธุ์นี้ถึง 80% อัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นถึง 80% ในบางพื้นที่ เช่น แอฟริกา และจากการเปรียบเทียบอัตราการติดเชื้อแล้ว ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศสีเข้มที่มีผู้ติดเชื้อถึง 80%

ความรุนแรงที่เกิดขึ้นและแนวโน้มยืดเยื้อยาวถึงสิ้นปีทำให้ทุกคนต้องเร่งป้องกันการแพร่ระบาดทุกรูปแบบ ซึ่งรวมถึงการฉีดพ่นสารฆ่าเชื้อโควิด-19 จนเกิดดีมานด์เพิ่มสูงมากขึ้นในทุกสถานที่ที่มีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิต ทั้งในกลุ่มโรงพยาบาล โรงงานอุตสาหกรรม ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า ร้านค้า ตลาดสด แหล่งชุมชนสาธารณะ ไม่เว้นแม้แต่ที่พักอาศัยทุกแห่ง ในหมู่บ้าน คอนโดมิเนียม และอพาร์ตเมนต์

หากสำรวจข้อมูลจากแหล่งต่างๆ พบว่า ในประเทศไทยมีบริษัทผู้ให้บริการฉีดพ่นสารฆ่าเชื้อหลายรายและแข่งขันกลยุทธ์ต่างๆ อย่างดุเดือด โดยทุกบริษัทหันมาเน้นจุดขายด้านน้ำยาที่เน้นประสิทธิภาพการกำจัดเชื้อไวรัสโควิด-19 นอกเหนือจากเชื้อโรคชนิดอื่น และเพิ่มจุดขายใหม่ คือ คุณสมบัติของส่วนผสมจากสารธรรมชาติ เนื่องจากลูกค้ากลุ่มครอบครัวมีจำนวนมากขึ้น จึงต้องการความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมภายในบ้าน รวมถึงราคาค่าบริการที่แตกต่างกัน

หลายรายมีชื่อเสียงและอยู่ในตลาดมานานหลายปี เช่น ดีไฮจีนิค (De Hygienique) เจ้านี้แจ้งเกิดในวงการมากกว่า 10 ปี จุดเริ่มต้นมาจากผู้ก่อตั้งบริษัท ดีไฮจีนิค (De Hygienique) ของสิงคโปร์ มีลูกสาวเป็นโรคภูมิแพ้ที่รักษาไม่หาย จึงพยายามค้นหานวัตกรรมกำจัดไรฝุ่นหรือสารก่อภูมิแพ้จากที่นอน จนไปเจอ POTEMA บริษัทผู้คิดค้นนวัตกรรมทำความสะอาดด้วยระบบ Sanitizing จากประเทศเยอรมนี หรือระบบการฆ่าเชื้อโรคแบบแห้ง ปลอดสารเคมี 100% และเห็นผลดีด้วยตัวเอง จนตัดสินใจเปิดบริษัททำธุรกิจดังกล่าว กระทั่งมีการนำเข้าไลเซนส์นี้เข้ามาในประเทศไทย

ปัจจุบันดีไฮจีนิคมีบริการ 2 รูปแบบ คือ บริการกำจัดไรฝุ่นเชิงลึกและอบโอโซนบนที่นอน โซฟา ม่านพรม และในเบาะรถยนต์ กับบริการพ่นควันออร์แกนิก ด้วยเครื่อง Anti -Virus Disinfection Coating ระบบ Fogging Technology พ่นปล่อยควัน และใช้ Organic oil ที่สกัดจากพืชธรรมชาติเคลือบปกป้องพื้นผิววัตถุต่างๆ ใช้เวลาเพียง 20-30 นาที

นอกจากดีไฮจีนิคแล้วยังมียักษ์ใหญ่อีกหลายรายที่เข้ารุกตลาดอย่างเข้มข้น เช่น SCG (All Rent) ในเครือเอสซีจี เปิดให้บริการมานานและมีกลุ่มลูกค้าจำนวนมาก บริษัท P&P Service Solution ที่มีบริการทำความสะอาด ดูแลสวน และโรยตัวเช็ดกระจกอาคารสูงด้วย รวมถึงกลุ่ม BPI-Bangkok Pacific International กลุ่ม 49 KLEAN และกลุ่ม PROOF Service

สำหรับอัตราค่าบริการส่วนใหญ่คิดเหมาพื้นที่ เช่น พื้นที่ไม่เกิน 100 ตารางเมตร (ตร.ม.) คิดราคาประมาณ 100 บาทต่อ ตร.ม. พื้นที่ไม่เกิน 100 ตร.ม. ราคา 3,500 บาท ไปจนถึงพื้นที่ 401-500 ตร.ม. ราคา 6,000 บาท

บางค่ายคิดราคาเริ่มต้น พื้นที่ไม่เกิน 300 ตร.ม. เหมาจ่ายประมาณ 3,745 บาท พื้นที่มากกว่านั้นคิด 13 บาท/ตร.ม. บางแห่งเจาะกลุ่มลูกค้ารายเล็กเพราะบ้านกลายเป็นจุดแพร่เชื้อในปัจจุบัน โดยคิดเหมาพื้นที่ 1-100 ตร.ม. ราคา 25 บาท/ตร.ม. พื้นที่มากกว่า 500 ตร.ม. ราคา 16 บาท/ตร.ม. ขึ้นอยู่กับน้ำยาและสถานที่ให้บริการ

พนักงานบริษัท ดีไฮจีนิค (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า สถานการณ์โควิด-19 ที่กลับมาแพร่ระบาดอย่างหนักตั้งแต่ช่วงต้นปี 2564 โดยเฉพาะระยะ 2-3 เดือนที่ผ่านมา มียอดผู้ติดเชื้อจำนวนมากและทุกวันนี้คนไทยหันมาดูแลใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น อีกทั้งเรื่องไวรัสกลายเป็นตัวตัดสินการเข้าใช้งานพื้นที่ของสถานที่ต่างๆ ด้วยเหตุนี้ งานบริการที่ดีและคุณภาพของน้ำยาเป็นตัวผลักดันให้ผู้รับบริการบอกต่อมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากบริษัทใช้ระบบพ่นควันที่เข้าถึง air flow ได้ 100% ทุกพื้นที่ในห้องต่างจากระบบละอองน้ำที่ครอบคลุมพื้นที่ที่ฉีดถึงและยังทำให้เปียกลื่นด้วย

ปัจจุบันดีไฮจีนิคมีอัตราเติบโตสูง หากเจาะเฉพาะ Segment กลุ่มบริการฉีดพ่นโควิดเติบโตมากถึง 60% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้และแนวโน้มจนถึงสิ้นปีนี้คาดว่าจะมีลูกค้ารับบริการมากขึ้น

สิ่งที่สะท้อนชัดเจน คือบริษัทมีทีมปฏิบัติมากกว่า 20 ทีม ต้องออกให้บริการลูกค้าทุกวัน ไม่ต่ำกว่า 20 เคสต่อวันต่อทีม และเป็นกลุ่มบ้านเรือนมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่พักอาศัยที่มีผู้ติดเชื้อ และอีกส่วนต้องการป้องกันไว้ก่อน เนื่องจากบ้านใกล้เคียงมีผู้ติดเชื้อ อาจอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันหรือละแวกเดียวกัน

ดังนั้น หากมองในอีกแง่มุม โควิดทำให้หลายๆ ธุรกิจแจ้งเกิดและเติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่แค่ช่วงจังหวะการแพร่ระบาดเท่านั้น แต่ยังหมายถึงอนาคตหลังจากนี้ภายใต้วิถีชีวิตแบบ New Normal เป็นการสร้างแนวรบใหม่ๆ และธุรกิจดาวรุ่งใหม่ๆ ที่ต่างจากเดิมด้วย

ใส่ความเห็น