วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 21, 2024
Home > Cover Story > เทรนด์คนรักสุขภาพโต บีเจ รีไวฟ์ เซลล์ ส่งผลิตภัณฑ์ใหม่บุกตลาด

เทรนด์คนรักสุขภาพโต บีเจ รีไวฟ์ เซลล์ ส่งผลิตภัณฑ์ใหม่บุกตลาด

การระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ประชาชนใส่ใจสุขภาพตัวเองมากขึ้น ทั้งการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และพิจารณาข้อมูลโภชนาการหลังผลิตภัณฑ์มากขึ้น หรือการเลือกรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามิน สวนดุสิตโพลเผยผลสำรวจ พบว่าประชาชนไทยหันมาใส่ใจกับสุขภาพเพิ่มขึ้น 45.39 เปอร์เซ็นต์

พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคเป็นปัจจัยสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทิศทางตลาด หากพิจารณาจากมูลค่าตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารปี 2562 ที่มีมูลค่าสูงถึง 20,876 ล้านบาท และการคาดการณ์ของ Euromonitor International ระบุว่าปี 2563 การเปลี่ยนแปลงของรูปแบบสังคมที่นำไปสู่วิถี New Normal อาจส่งผลให้มูลค่าตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไทยสูงถึง 23,916 ล้านบาท

แม้ว่าไวรัสโคโรนาจะสร้างหายนะให้แก่ธุรกิจจำนวนมาก ทว่า ธุรกิจผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่โตสวนกระแสอย่างมีนัยสำคัญ เห็นได้จากมีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยที่มองเห็นโอกาสและโดดเข้ามาเล่นในตลาดนี้

ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ในปี 2560 ระบุว่า ผู้ประกอบธุรกิจอาหารเสริมของไทยที่จดทะเบียนพบว่า มีรายได้รวมอยู่ที่ 8.7 หมื่นล้านบาท มีผู้ประกอบการจำนวนกว่า 6,300 ราย โดยเจ้าตลาดเป็นของผู้ประกอบการรายใหญ่เพียง 10 ราย ซึ่งกินส่วนแบ่งตลาดไปแล้วกว่า 60 เปอร์เซ็นต์

ส่วนแบ่งตลาดที่มีมูลค่ามหาศาล เป็นความหอมหวานที่ใครๆ ก็ต้องการที่จะเข้าฟาดฟันและแย่งชิง เพราะช่วงเวลานี้ดูจะเหมาะสมที่สุดในการคลุกวงในธุรกิจนี้ จึงไม่น่าแปลกใจหากเราจะได้เห็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเปิดตัวในตลาดนี้มากขึ้น

ล่าสุด รมิดา รัสเซลล์ มณีเสถียร และ มนพัทธ์ สุริยะวงศ์ทอง ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ จับมือกันเปิดบริษัท บีเจ รีไวฟ์ เซลล์ จำกัด พร้อมส่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารตัวแรกของบริษัทอย่าง บีเจ คิวเท็น พลัส ซิตรัส ไบโอฟลาโวนอยด์ เข้าชิงส่วนแบ่งการตลาด

ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเข้าสู้ศึกในครั้งนี้ เมื่อตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมีเจ้าตลาดอยู่แล้ว อีกทั้งคู่แข่งในปัจจุบันยังมีทั้งผู้ประกอบการไทยและบริษัทต่างชาติ รมิดา รัสเซลล์ CEO บ.บีเจ รีไวฟ์ เซลล์ จำกัด กล่าวกับ “ผู้จัดการ 360 องศา” ว่า “ถ้าจะถามว่า เราเข้ามาในตลาดนี้ช้าไปหรือไม่ ก็ต้องตอบว่า ช้า แต่เราจะสร้างความแตกต่างจากตัวผลิตภัณฑ์ของเรา เป้าหมายสำคัญคือ กลุ่มคนรักสุขภาพ Niche Market เป็นหลัก เพราะผลิตภัณฑ์ของเราไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่กินเป็นแฟชั่น แต่เน้นที่การดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง เน้นที่การฟื้นฟู โดยยึดคติที่ว่า ถ้าสุขภาพดี เดี๋ยวสวยเอง”

นอกจากจังหวะก้าวที่ช้ากว่าคู่แข่งอื่นๆ และเจ้าตลาดที่ครองส่วนแบ่งไปมากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์แล้ว รูปแบบของการทำการตลาดและสร้างกลยุทธ์รวมไปถึงเป้าหมายของ บีเจ รีไวฟ์ เซลล์ ดูเหมือนจะแตกต่าง “ในช่วงแรกเรารับประทานเองก่อน จึงค่อยแนะนำให้กับครอบครัว เพื่อน ที่ใส่ใจในสุขภาพเหมือนกัน เน้นรูปแบบการบอกต่อมากกว่าการไปยิงโฆษณาถี่ๆ บนสื่อเป็นจำนวนมาก เพราะเราเป็นธุรกิจ SME ที่ต้องการการเติบโตที่แข็งแรง และหวังรายได้ในปีแรกเพียง 15 ล้านบาทเท่านั้น และด้วยส่วนผสมหลักของผลิตภัณฑ์ที่นำเข้ามาจากญี่ปุ่น ทำให้เราไม่สามารถลงไปเล่นในราคาแบบ Mass ได้ ผลิตภัณฑ์ของเราไม่ใช่กินแล้วจะสวยเลยทันทีภายในเวลาสั้นๆ แต่เน้นที่การฟื้นฟู การดูแล เพราะฉะนั้นทั้งกลุ่มเป้าหมายที่เราตั้งไว้ และความต้องการของลูกค้า คือจะต้องตรงกันพอดี” รมิดาอธิบาย

ปัจจุบันโลกที่โซเชียลมีเดียครองเมือง ช่วยให้ตลาดเปิดกว้างมากขึ้น การสื่อสารระหว่างแบรนด์สินค้าต่างๆ ถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภคได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ ธุรกิจนี้ยังมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง เนื่องจากผู้บริโภคมีจำนวนมาก และสัดส่วนผู้ประกอบการ SME มีมากถึง 95 เปอร์เซ็นต์ของผู้ประกอบการทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่นิยมใช้วิธีจ้างโรงงานให้ผลิตและดำเนินการขออนุญาตทางราชการและจำหน่ายภายใต้แบรนด์ของตนเอง ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์อาหารเสริมหลายเจ้าเน้นรูปแบบการซื้อช่วงเวลาในรายการวาไรตี้ หรือรายการข่าว รวมไปถึงการจ้างพรีเซนเตอร์เพื่อหวังดึงดูดลูกค้าที่เป็นแฟนคลับ

ในขณะที่ บีเจ รีไวฟ์ เซลล์ เลือกที่จะไม่ใช้พรีเซนเตอร์ในการโฆษณาสินค้า และมีช่องทางการจำหน่ายผ่านทางเว็บไซต์และทางช่อง Shop Channel เป็นหลัก นอกจากนี้ บีเจ รีไวฟ์ เซลล์ยังมีแผนที่จะรุกตลาดในกลุ่มประเทศ CLMV หลังสถานการณ์โรคโควิด-19 คลี่คลาย

“แม้ว่าเราจะเป็นบริษัทฯ เล็กๆ ที่เป็นธุรกิจแบบ SME และเพิ่งเข้าสู่ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอย่างเป็นทางการในปีนี้ แต่เราได้วางจำหน่ายสินค้ามาตั้งแต่ปี 2562 โดยเริ่มจำหน่ายที่ประเทศเวียดนามผ่านช่องทางออนไลน์เป็นประเทศแรก เรามีพาร์ตเนอร์ที่เป็น SME เหมือนกัน และจำหน่ายในประเทศไทยเป็นแห่งที่สอง หากเปิดประเทศอย่างเป็นทางการเราจะดำเนินการขยายไปสู่ตลาดในกัมพูชา ลาว และเมียนมา

“สาเหตุที่เราจะขยายฐานลูกค้าในกลุ่มประเทศ CLMV เพราะประชาชนในกลุ่มประเทศเหล่านี้จะให้การยอมรับผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากประเทศไทย เพราะเขามองว่าด้านการสาธารณสุขในไทยเป็นที่ยอมรับ และเราในฐานะธุรกิจ SME มองว่าควรเริ่มในตลาดประเทศเพื่อนบ้านก่อน” รมิดากล่าวเพิ่มเติม

นอกจากนี้ เป้าหมายต่อไปในอนาคตของ บีเจ รีไวฟ์ คือการนำเสนอผลิตภัณฑ์เข้าไปในโรงพยาบาล โดยจะเน้นที่โรงพยาบาลที่มีแผนกเวชศาสตร์ฟื้นฟูวัยเป็นสำคัญ และภายในไตรมาส 3 ของปีนี้ จะส่งผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์กลุ่ม Silver Economy ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดูแลเรื่องกระดูกและข้อต่อต่างๆ

จากประเด็นข่าวเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีการโฆษณาเกินจริงในการรักษาโรคเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้ผู้บริหารของ บีเจ รีไวฟ์ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการใช้ถ้อยคำมากกว่าปกติ “เราอยู่ในช่วงเวลาที่ท้าทายมาก ทั้งการเลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพสูง ต้องคุมต้นทุนไม่ให้ราคาสินค้าหนีจากตลาดไปมาก ต้องยอมรับว่าสินค้าของเราราคาสูงกว่าท้องตลาด แต่เรามั่นใจในคุณภาพของส่วนประกอบที่เราใส่ลงไป ไม่ใช่แค่ดีดเข้าไป นอกจากนี้ เราจะไม่โอเวอร์เคลมให้ผลิตภัณฑ์ของเรา เวลาที่ไปโฆษณาในช่อง Shop Channel เพราะจริยธรรมในการทำธุรกิจนั้นสำคัญมาก”

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี มองว่า สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการอยู่รอดและเติบโตในอนาคต เป็นเรื่องของการรักษามาตรฐานคุณภาพสินค้า และการให้ความสำคัญกับการวิจัยพัฒนาสินค้าให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในระยะ 10 ปีข้างหน้า ตามจำนวนผู้บริโภควัยทำงานและผู้สูงอายุที่จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นจากร้อยละ 80 ในปัจจุบัน เป็นร้อยละ 85 ในปี 2571

การเติบโตของตลาดผลิตภัณฑ์อาหารเสริม น่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจผลิตสื่อ ธุรกิจให้เช่าพื้นที่โฆษณา แม้จะไม่ใช่การเติบโตในอัตราที่เท่าเทียมกัน ทว่าในปัจจุบันต้องยอมรับว่าสื่อออนไลน์มีอิทธิพลต่อผู้บริโภคสูงมาก คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า การคิดต่างของ บีเจ รีไวฟ์ ที่จะไม่ใช้พรีเซ็นเตอร์ที่มีฐานแฟนคลับจำนวนมาก และใช้เพียงการตลาดที่บอกปากต่อปาก รวมไปถึงคุณภาพระดับพรีเมียมของสินค้า จะสามารถแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดได้อย่างที่ตั้งเป้าไว้หรือไม่

ใส่ความเห็น