หลังจากอภิมหาโครงการ “ไอคอนสยาม” ริมฝั่งน้ำเจ้าพระยา ซึ่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) และบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น ของ ทิพาภรณ์ เจียรวนนท์ ลูกสาวเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ร่วมลงทุนกับกลุ่มสยามพิวรรธน์ เม็ดเงินรวมมากกว่า 54,000 ล้านบาท เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2561
ถัดมาอีกไม่กี่เดือน วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 แมกโนเลียฯ ติดเครื่องลุยตามแผนเผยโฉม 101 The Third Place @True Digital Park ไลฟ์สไตล์คอมเพล็กซ์ครบวงจร พร้อมๆ กับการปลุกปั้นโครงการ ทรู ดิจิทัล พาร์ค บนถนนสุขุมวิท 101 ที่มีพื้นที่มากกว่า 43 ไร่ เพื่อเป็น Global Destination ของคนดิจิทัลเต็มรูปแบบ
ที่สำคัญ บนเนื้อที่ทุกตารางเมตร คือ บิ๊กโปรเจกต์และบิ๊กไอเดียที่ทิพาภรณ์ต้องการสื่อสารแนวคิดและวิสัยทัศน์ในการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยุคใหม่ การตั้งใจสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดในการใช้ชีวิต เพื่อให้การสร้างไม่ใช่แค่ทำเพื่อวันนี้หรือพรุ่งนี้ แต่ต้องส่งผลดีต่อทุกชีวิตจนถึงอนาคต
เช่น การสร้างสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่ร่วมกันของคนทั้ง 3 รุ่น การสร้างธรรมชาติให้อยู่คู่ธรรมชาติ มีการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า สร้างโครงการคุณภาพ มีความปลอดภัย ตอบสนองความต้องการของลูกค้าและสร้างชุมชนให้เป็นสังคมที่น่าอยู่ เน้นความยั่งยืนอย่างรอบด้าน ซึ่งเป็นแนวคิดการทำธุรกิจที่ทิพาภรณ์พยายามชู “จุดขาย” ตั้งแต่เริ่มต้นทำธุรกิจวันแรกเมื่อปี 2537
ทั้งนี้ เดิมมิกซ์ยูสโปรเจ็กต์ 101 เป็นที่ตั้งของโครงการปิยรมย์ สปอร์ตคลับ ซึ่งเครือซีพีทุ่มเม็ดเงินกว่า 4,000 ล้านบาท ซื้อมาเมื่อหลายปีก่อน
เวลานั้นทิพาภรณ์ตั้งใจวางแผนลงทุนอีกกว่า 30,000 ล้านบาท พัฒนาโครงการภายใต้คอนเซ็ปต์ไลฟ์สไตล์คอมเพล็กซ์ สังคมดิจิทัลแห่งแรกและแห่งเดียวในเมืองไทย ประกอบด้วยส่วนที่พักอาศัย 3 อาคาร วางแนวคิดให้ทุกยูนิตใช้ระบบ Smart Home Automation System เทคโนโลยีที่ผู้พักอาศัยสั่งการทำงานต่างๆ ในบ้านได้จากระยะไกล แม้อยู่นอกบ้าน มีสโมสรกีฬาและสุขภาพ พื้นที่ 10,000 ตารางเมตร ห้องนั่งเล่น Social Lounge โซนสำหรับครอบครัว คอร์ตเทนนิสในร่ม สระว่ายน้ำแบบชายทะเลสไตล์รีสอร์ตแห่งแรกในกรุงเทพฯ และสนามหญ้าขนาดใหญ่กว่า 3 ไร่ ซึ่งทิพาภรณ์ให้ความสำคัญมาก
ขณะเดียวกัน มีพื้นที่ร้านค้าปลีกและพื้นที่สำนักงาน แยกเป็นพื้นที่ให้เช่า 30,000 ตารางเมตร และ co-working space คอนเซ็ปต์ Innovative Office Park รวมถึงพื้นที่เฉพาะสำหรับการพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยีและการวิจัย เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการรุ่นใหม่ และวางแผนสร้างสกายวอล์กเชื่อมรถไฟฟ้าบีทีเอส “สถานีปุณณวิถี” เข้าถึงตัวโครงการด้วย
อย่างไรก็ตาม โครงการมีการพัฒนาเพิ่มเติมไอเดียเพื่อเสริมความชัดเจน จนกระทั่งแยกพื้นที่ตามคอนเซ็ปต์ของแต่ละส่วน โดยมีโครงการหลัก คือ ทรู ดิจิทัลพาร์ค ซึ่งบริษัทหมายมั่นปั้นให้เป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลแห่งแรกในไทยที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแยกพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ พื้นที่เพื่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมดิจิทัล พื้นที่ไลฟ์สไตล์ และที่พักอาศัยภายใต้แบรนด์ “วิสซ์ดอม (Whizdom)” ภายใต้แนวคิด “Digital Lifestyle–Connecting Possibilities” ออกแบบพื้นที่เปิดโล่งและเชื่อมต่อถึงกัน มีพื้นที่ทำงานและพักผ่อน มีระบบนิเวศครบวงจรในแนวคิด Open Innovation เป็นศูนย์รวมบริษัทข้ามชาติชนาดใหญ่ สตาร์ทอัพ ผู้ประกอบการ นักลงทุน รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ พร้อมติดตั้งระบบสื่อสารโทรคมนาคมผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 4G+ และ WiFi ครอบคลุมทั่วทั้งโครงการ
นางสาวณิชา ศรีสงวนสกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายงานบริหารพื้นที่พาณิชย์และค้าปลีก บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ MQDC กล่าวว่า บริษัทเร่งขยายธุรกิจในรูปแบบหลากหลายมากขึ้น เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์และความต้องการของลูกค้าภายใต้ปรัชญา For All Well-Being อย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เปิดตัวไลฟ์สไตล์คอมเพล็กซ์ครบวงจรแห่งแรกของกรุงเทพฯ ภายใต้ชื่อ 101 The Third Place @True Digital Park อย่างเป็นทางการ
สำหรับ 101 The Third Place @True Digital Park เป็นพื้นที่ไลฟ์สไตล์คอมเพล็กซ์ อยู่ภายในโครงการทรู ดิจิทัล พาร์ค โดยบริษัทคาดหวังว่าที่นี่จะเป็นพื้นที่ความสุขแห่งใหม่ของคนกรุงเทพฯ ผสมผสานพื้นที่ค้าปลีกเข้ากับธรรมชาติและเทคโนโลยี เพื่อสร้างสรรค์พื้นที่สำหรับชีวิตประจำวันที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับคนเมืองรุ่นใหม่
“รูปแบบของธุรกิจนี้นับเป็นครั้งแรกในเมืองไทยกับไลฟ์สไตล์คอมเพล็กซ์ที่คนเมืองสามารถใช้ชีวิตยามว่างได้ตลอดทั้งวัน เทียบเท่ากับ Third Place หรือเป็นสถานที่สุดโปรด รองจากที่อยู่อาศัยและสถานที่ทำงาน ด้วยพื้นที่ขนาด 40,000 ตารางเมตร ประกอบด้วยร้านอาหาร ร้านค้า บริการ สิ่งอำนวยความสะดวก พื้นที่สำหรับออกกำลังกาย พื้นที่สีเขียวสำหรับพักผ่อนหย่อนใจกว่า 5,000 ตารางเมตร พื้นที่สำหรับครอบครัวและสัตว์เลี้ยง และพื้นที่กิจกรรมทางสังคม เพื่อมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของคนเมืองควบคู่กับการพัฒนาสภาพแวดล้อมโดยรอบ”
พื้นที่ของ 101 The Third Place จะประกอบด้วย 3 โซนหลัก เริ่มจากโซนแรก 101 Park เป็นพื้นที่สีเขียวกว่า 5,000 ตารางเมตร ที่สอดแทรกอยู่ทั่วคอมเพล็กซ์ มีแลนด์สเคปเป็นพื้นที่แนวนอนกว่า 3 ไร่ ประกอบด้วยสวนบนดาดฟ้า สวนที่ออกแบบให้สอดคล้องกับธรรมชาติท้องถิ่นเพื่อคืนระบบนิเวศดั้งเดิมสู่พื้นที่โดยรอบโครงการและสนามหญ้าขนาดใหญ่ที่สามารถดัดแปลงเป็นลานกิจกรรม โดยผู้ใช้บริการสามารถชมการแสดงไปพร้อมๆ กับพักผ่อนท่ามกลางแมกไม้ร่มรื่นแบบเดียวกับสวนสาธารณะตามเมืองใหญ่ๆ ของโลก
โซนที่ 2 Hillside Town พื้นที่ค้าปลีกที่ไม่ได้มีเพียงร้านค้าเรียงตัวกัน แต่แยกตามประสบการณ์การช้อปและชิม ท่ามกลางบรรยากาศเมืองเล็กๆ กลางหุบเขา ลัดเลาะตามทางเดินบนเนินที่โค้งตัวไปมา สำรวจสินค้าไลฟ์สไตล์และอาหารหลากหลายประเภทที่ซ่อนตัวอยู่ตามตรอกซอกซอยหลากหลายประเภท
โซนที่ 3 เรียกว่า 24-Hour Street รองรับชีวิตคนเมืองที่ไม่เคยหยุดนิ่ง รูปแบบถนนที่ไม่มีวันหลับใหลรายล้อมด้วยร้านอาหาร คาเฟ่ และร้านสะดวกซื้อ เพื่อตอบโจทย์คนนอนดึก
ล่าสุด ภายในโครงการมีร้านค้าและร้านอาหารเช่าแล้ว 90% คาดภายในเดือน มี.ค. จะมีลูกค้าที่สนใจเช่าพื้นที่เข้ามาในส่วนของพื้นที่เช่าที่เหลืออีก 10% จนครบ 100% และมีร้านค้าเปิดให้บริการแล้ว 80% ส่วนที่เหลือจะเปิดให้บริการในช่วงเดือนมีนาคม จากปัจจุบันอัตราค่าเช่าในโครงการอยู่ระหว่าง 1,200-2,000 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน สัญญาการเช่าพื้นที่ของลูกค้ามีทั้งสัญญาระยะสั้น และระยะยาว โดยสัญญาเช่าสูงสุดอยู่ที่ 12 ปี ซึ่งมีผู้เช่าพื้นที่แล้ว คือ ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต
เบื้องต้น บริษัทตั้งเป้ามีจำนวนผู้มาใช้บริการประมาณ 40,000-50,000 คนต่อวัน โดยจะใช้จุดขายสำคัญ คือ มีร้านค้า ร้านอาหาร 18 ร้าน ที่เปิดบริการ 24 ชั่วโมง เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่หลากหลาย รวมถึงรองรับจำนวนผู้อยู่อาศัยในโครงการ 101 ซึ่งมีทั้งอาคารสำนักงาน และคอนโดมิเนียม จำนวน 2,000 ยูนิต มีผู้อยู่อาศัยกว่า 5,000 คน นอกจากนี้ 101 The Third Place จะรองรับกำลังซื้อจากประชากรในพื้นที่รัศมี 3-5 กิโลเมตร กว่า 3-4 ล้านคน ซึ่งมีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่พักอาศัยในย่านสุขุมวิท 101 รวมถึงพื้นที่ใกล้เคียง ได้แก่ ชาวอังกฤษ สหรัฐฯ จีน และเกาหลี
แน่นอนว่า หากแนวคิดบิ๊กโปรเจกต์ 101 แจ้งเกิดและแมกโนเลียฯ สามารถทำให้ความเป็น “The Third Place” เกิดขึ้นได้จริง ไม่ใช่เพียงแค่เกมการสร้างจุดขายทางการตลาด ย่อมเป็นการปูทางให้อีกหนึ่งอภิมหาโครงการที่จ่อคิวเปิดให้บริการในปี 2565 นั่นคือ เดอะฟอเรสเทียส์ (THE FORESTIAS) Mixed-Use Lifestyle ซึ่งทิพาภรณ์วางแผนเป็นโครงการที่อยู่อาศัยรายล้อมด้วยผืนป่า และพื้นที่เชิงพาณิชย์ รองรับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัย ครอบคลุมคน 4 กลุ่มวัย ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ มีจุดเด่นที่ธรรมชาติและสังคมอยู่รวมกันภายใต้คอนเซ็ปต์ “ความสุขที่แท้จริง” บนพื้นที่กว่า 300 ไร่ บริเวณบางนา-ตราด กม. 5-7 มูลค่าการลงทุนมากกว่า 90,000 ล้านบาท หรือเกือบ 1 แสนล้านบาท
ภายในเดอะฟอเรสเทียส์ แบ่งเป็น 2 โซนใหญ่ ได้แก่ โซนด้านหน้า หรือโซนพับลิก เป็นพื้นที่อาคารสำนักงาน โรงแรมระดับ 4 ดาว และชอปปิ้ง รีเทล หรือคอมมูนิตี้เซ็นเตอร์
อีกโซนอยู่ด้านใน หรือเออร์เบิน โซน สร้างเป็นเมืองที่คนทั้ง 4 กลุ่มวัยอยู่รวมกันได้ ประกอบด้วย 1. คอนโดมิเนียมไฮไรส์ แบรนด์วิสซ์ดอม เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ อายุ 25-35 ปี 2. คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ แบรนด์ มัลเบอร์รี่ โกรฟ รองรับคนกลุ่มอายุ 40-45 ปี 3. บ้านเดี่ยวหรือวิลล่าหรู มัลเบอร์รี่ โกรฟ และ 4. ที่พักของผู้สูงอายุที่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้กับผู้ที่ต้องการผู้ดูแล
น่าติดตามว่า ทั้ง “101 The Third Place” และเมืองแห่งความสุขที่ยั่งยืนอย่าง “เดอะ ฟอเรสเทียส์” จะแจ้งเกิดได้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะเกมธุรกิจรอบนี้มีเดิมพันเม็ดเงินสูงถึงหลักแสนล้านด้วย