ภูมิทัศน์ของสมรภูมิค้าปลีกน้ำมันไทย กำลังปรับเปลี่ยนอีกครั้งเมื่อ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG ผู้ประกอบการธุรกิจค้าน้ำมันเชื้อเพลิงสำเร็จรูปและผู้ให้บริการสถานีบริการน้ำมัน “พีที” รุกขยายจำนวนสถานีบริการน้ำมันพีที ภายใต้แนวคิด “ที่ไหนมีคนไทย พีทีจะไปถึง เพื่อเป็นที่ 1 ในใจคนไทยทั่วประเทศ”
โดยในช่วงที่ผ่านมา พีทีขยายสถานีบริการน้ำมันไปแล้วกว่า 700 แห่งทั่วประเทศ นอกจากนี้พีทียังได้เพิ่มคลังน้ำมันแห่งใหม่เป็นแห่งที่ 8 ขึ้นอีกที่จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งมีขนาดปริมาณความจุน้ำมันทั้งสิ้น 7 ล้านลิตร โดยสามารถรองรับปริมาณน้ำมันหมุนเวียนเพื่อการจำหน่ายผ่านคลังน้ำมันแห่งนี้สูงสุดได้ถึง 50 ล้านลิตรต่อเดือน เพื่อรองรับการขยายตัวของสถานีบริการน้ำมันไปยังพื้นที่ภาคเหนือฝั่งตะวันออกอีกด้วย
“การเสริมประสิทธิภาพเครือข่ายคลังน้ำมันให้ครอบคลุมทั่วประเทศนี้ มีจุดประสงค์เพื่อรองรับการเติบโตของสถานีบริการและยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องของบริษัท ทั้งยังเป็นการเสริมระบบโลจิสติกส์ให้เข้มแข็ง ซึ่งถือเป็นจุดได้เปรียบทางการแข่งขันที่สำคัญที่สุดของพีทีในวันนี้” พิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) ระบุ
การขยายสถานีบริการน้ำมันของพีที ดำเนินไปบนพื้นฐานของกลยุทธ์เน้นการเติบโตในถนนสายรอง รวมถึงมีการพัฒนารูปลักษณ์ของสถานีบริการให้ทันสมัยและตอบสนองความต้องการของลูกค้าผู้ใช้รถทุกประเภทในปัจจุบัน โดยพีทีได้วางเป้าหมายจะขยายสถานีบริการน้ำมันให้ได้ถึง 1,200 แห่ง ภายในปี 2560 เพื่อให้มีสถานีบริการน้ำมันพีทีกระจายอยู่ทั่วทุกอำเภอของประเทศไทย
นอกจากการขยายสถานีบริการน้ำมันอย่างรวดเร็วแล้ว พีทียังเตรียมพร้อมสำหรับการรุกทำการสื่อสารการตลาดอย่างจริงจังมากขึ้น ส่งผลให้การเติบโตของยอดขายน้ำมันของพีทีในปี 2556 เพิ่มขึ้น 2 หมื่นลิตรต่อสถานีต่อเดือน และคาดว่าปีหน้ายอดขายน้ำมันเฉลี่ยต่อสถานีจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.9 แสนลิตรต่อเดือน จากเดิมอยู่ที่ 1.7 แสนลิตรต่อเดือน
พีทีไม่ได้เน้นเฉพาะการรุกหนักในการขยายสถานีบริการเท่านั้น หากแต่ในมิติของธุรกิจนอนออยล์ ก็วางแผนขยายร้านสะดวกซื้อ ‘Max Mart’ และ ‘ร้านกาแฟพันธุ์ไทย’ ให้เติบโตควบคู่ไปพร้อมกับการขยายจำนวนสถานีบริการน้ำมันอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดพีที เปิดแฟลกชิปสโตร์ร้านกาแฟพันธุ์ไทยในกรุงเทพฯ แห่งแรกที่อาคารไซเบอร์เวิลด์ ถนนรัชดาภิเษก ซึ่งถือเป็นร้านกาแฟพันธุ์ไทยร้านแรกที่ไม่ได้อยู่ในสถานีบริการน้ำมันพีที
“พีทียังคงความตั้งใจในการทำธุรกิจในการมอบสินค้าและบริการที่มีคุณภาพที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า ที่ผ่านการเลือกและคัดสรรอย่างดี การเปิดร้านกาแฟพันธุ์ไทยภายใต้การบริหารดูแลของบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด ในฐานะแฟลกชิปสโตร์แห่งแรกในกรุงเทพฯ จะเป็นร้านต้นแบบสำหรับการขยายสาขาแบบสแตนด์อโลนในเมืองต่อไปในอนาคต”
ร้าน ‘กาแฟพันธุ์ไทย’ แห่งนี้ มีจุดเน้นอยู่ที่การเป็นคอมมิวนิตี้ขนาดย่อมให้คนทำงานรุ่นใหม่ได้หยุดพัก พบปะพูดคุย และนำเรื่องราวที่มีประโยชน์มาแบ่งปันกัน ภายใต้แนวคิดการออกแบบให้เป็นร้านกาแฟร่วมสมัยที่ยังคงกลิ่นอายของความเป็นไทย และตกแต่งร้านด้วยบรรยากาศที่เป็นกันเองตามสโลแกนของร้าน ‘เข้ม เท่ จริงใจ แบบไทยแท้ๆ’ พร้อมเสิร์ฟกาแฟที่คัดสรรพิเศษจาก ‘เมล็ดกาแฟดอยช้าง’ เมล็ดกาแฟสายพันธุ์อาราบิก้าของไทยคุณภาพระดับโลกในราคาที่สัมผัสได้
มิติของการปรับภาพลักษณ์องค์กรของ พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องจนทำให้ พีทีกลายเป็นบริษัทน้ำมันที่มีจำนวนปั๊มมากเป็นอันดับ 3 แซงหน้าค่ายน้ำมันต่างชาติและไล่ตาม 2 ยักษ์ใหญ่อย่าง ปตท. และบางจากได้อย่างน่าจับตามอง
โดยก่อนหน้านี้ ค่ายพีทีเปิดเกมรุกในสงครามบัตรเติมน้ำมันที่ถือเป็นกลยุทธ์การตลาดชิ้นสำคัญและแข่งขันกันอย่างดุเดือด ควบคู่กับการเร่งขยายสถานีบริการ และร้านสะดวกซื้อ “แมกซ์มาร์ท” ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ในเครือและร้านกาแฟ “พันธุ์ไทย” ซึ่งร่วมมือกับบริษัท ดอยช้าง คอฟฟี่ ออริจินอล เจ้าของกาแฟ “ดอยช้าง”
จังหวะก้าวที่น่าตื่นตาตื่นใจของพีที เกิดขึ้นจากฐานความคิดความเชื่อที่ว่า พีทีมีจุดแข็งที่เหนือกว่า โดยเฉพาะการมีกองรถบรรทุกน้ำมันของตัวเองมากกว่า 300 คัน ส่งผลให้การบริหารต้นทุนมีประสิทธิภาพ มีความยืดหยุ่น มั่นใจเรื่องคุณภาพน้ำมันทุกหยดที่มาถึงปั๊ม ขณะที่เจ้าใหญ่ต้องจ้างบริษัทเอาต์ซอร์ส ขนส่งจากคลังน้ำมัน
ที่สำคัญ “พีที” ไม่ใช่หน้าใหม่ในวงการน้ำมัน หากแต่พีที ได้โลดแล่นอยู่บนเส้นทางธุรกิจน้ำมัน มานานกว่า 20 ปี เริ่มตั้งแต่การเป็นกลุ่มนักธุรกิจเจ้าของกิจการคลังน้ำมันและค้าน้ำมันจับมือกันก่อตั้งบริษัท ภาคใต้เชื้อเพลิง จำกัด จากคลังน้ำมันเพียง 2 แห่ง คือ คลังน้ำมันชุมพร ใน อ. เมืองชุมพร จ. ชุมพร และคลังน้ำมันแม่กลอง ใน อ. เมือง จ.สมุทรสงคราม โดยมีลูกค้าส่วนใหญ่จำกัดเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการประมงและโรงงานอุตสาหกรรมในภาคใต้
แต่วันนี้พีทีก้าวเข้ามาท้าทายเจ้าตลาด มีธุรกิจในแครือทั้งธุรกิจคลังน้ำมัน ธุรกิจค้าส่งน้ำมัน ธุรกิจขนส่งหรือกองรถบรรทุก ธุรกิจค้าปลีกร้านสะดวกซื้อ และธุรกิจร้านกาแฟ ควบคู่กับรายได้รวมต่อปีที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา
นอกจากเหนือจากการสัประยุทธ์ในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันที่กำลังทวีความร้อนแรงขึ้นทุกขณะแล้ว ธุรกิจนอนออยล์ของผู้ประกอบการเหล่านี้ จะเป็นอีกสมรภูมิหนึ่งที่มีการช่วงชิงและแข่งขันกันอย่างดุเดือดไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
และดูเหมือนว่าบนสังเวียนที่เปิดกว้างนี้ จะไม่มีใครยอมใครง่ายๆ เสียด้วย