การตัดสินใจทุ่มเม็ดเงินกว่า 10,800 ล้านบาท ซื้อที่ดินบริเวณโครงการปาร์คนายเลิศ เนื้อที่ 15 ไร่ จากกลุ่มตระกูลสมบัติศิริ เพื่อพัฒนาโครงการศูนย์สุขภาพแบบครบวงจร BDMS Wellness Clinic ของนายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS มีแผนการใหญ่ เพื่อเชื่อมโยงบรรดาโรงพยาบาลทั้งหมดในเครือและสร้างอาณาจักรธุรกิจเวลล์เนสเซ็นเตอร์ ติดอันดับท็อปเท็นในอาเซียน เพราะถ้าสำเร็จรายได้รวมจะพุ่งทะลุ 1 แสนล้านบาท มากกว่าเดิมถึงเท่าตัวทันที
แน่นอนว่า ตาม Vision ของ นพ.ปราเสริฐ โรงพยาบาลยุคใหม่ในเครือ BDMS จะไม่ใช่โรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วย ต่างคนต่างดำเนินธุรกิจ แต่โรงพยาบาลลูกที่มีมากกว่า 44 แห่ง คือจิ๊กซอว์ที่เชื่อมติดต่อกันและสร้างเน็ตเวิร์คธุรกิจเวลเนส เพื่อสร้างความแข็งแกร่งเทียบชั้นคู่แข่งอย่างสหรัฐอเมริกา เยอรมนี และฝรั่งเศส หรือในเอเชียด้วยกันอย่างสิงคโปร์ โดยเฉพาะบริการทางสุขภาพเกี่ยวกับการป้องกัน เอนไทเอจจิ้ง และการดูแลสุขภาพให้อายุยืนยาว
เพราะปัจจุบันประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดธุรกิจเวลเนสที่มีศักยภาพ โดยสามารถดึงส่วนแบ่งในตลาดท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเป็นอันดับที่ 13 ของโลก และในกลุ่มการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ หรือ Medical Tourism มีผู้เดินทางเข้ามาใช้บริการทางการแพทย์ในประเทศไทยสูงถึง 1.2 ล้านคน คิดเป็นเม็ดเงินรายได้มากกว่า 1 แสนล้านบาท
นั่นทำให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬากำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพของโลก (Thailand Hub of wellness and Medical Services) ภายใน 10 ปีข้างหน้า (ปี 2559-2568)
ขณะเดียวกัน จากสถิติย้อนหลังช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย (จีดีพี) เติบโตเฉลี่ย 3.4% แต่ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของคนไทยเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 7.5% คิดเป็นการการเติบโตสูงกว่าจีดีพีถึงกว่า 2 เท่า แสดงให้เห็นถึงความต้องการบริการทางการแพทย์ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ทั้งแนวโน้มของผู้คนที่หันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้นและปัจจัยด้านประชากรศาสตร์จากสังคมไทยที่ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยจากสถิติคาดว่าสัดส่วนผู้สูงอายุ หรือมีอายุมากกว่า 60 ปี จะเพิ่มขึ้นจาก 16.5% ในปี 2559 เป็น 19.1% และ 22.8% ในปี 2563 และ 2568 ตามลำดับ อายุที่เพิ่มขึ้นย่อมมาพร้อมกับโรคภัยไข้เจ็บและจะหนุนการเติบโตของความต้องการบริการทางการแพทย์เพิ่มขึ้นในระยะยาวด้วย
ทั้งเมดิคอลทัวริซึ่มในตลาดต่างชาติและความต้องการรักษาพยาบาลที่มีมาตรฐานมากขึ้นในตลาดคนไทย กลายเป็นโอกาสทองของกลุ่ม BDMS ซึ่งถือเป็นกลุ่มธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ที่สุดในประเทศ ฮุบส่วนแบ่งในตลาดโรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทยเกือบ 80% มีโรงพยาบาลในเครือทั้งหมด 44 แห่ง จาก 5 แบรนด์หลัก คือ โรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลบีเอ็นเอช โรงพยาบาลพญาไท และโรงพยาบาลเปาโล รวมทั้งมีโรงพยาบาลในประเทศกัมพูชา ภายใต้แบรนด์ Royal International Hospital และกลุ่มโรงพยาบาลอีก 6 แห่งที่ดำเนินงานภายใต้ตราสัญลักษณ์โรงพยาบาลท้องถิ่น
ทั้งนี้ ตามแผนระยะ 5 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2560 กลุ่ม BDMS ตั้งเป้าผลักดันโรงพยาบาลในเครือทุกแห่ง เพื่อเป็นกลุ่มโรงพยาบาลที่มีคุณภาพมากที่สุดในเอเชียแปซิฟิก โดยช่วง 2 ปีแรก จะพัฒนาคุณภาพรักษาให้เหนือกว่าประเทศสิงคโปร์และออสเตรเลีย รวมทั้งเร่งเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลให้อยู่ระดับเดียวกับสหรัฐฯ และยุโรป เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าจากต่างประเทศ
อย่างโรงพยาบาลกรุงเทพ (ซอยศูนย์วิจัย) อยู่ระหว่างการก่อสร้าง BDMS Center of Excellence Network (ซีโออี) หรือ “ฟีนิกซ์ โปรเจ็กต์” งบลงทุนรวม 4,000 ล้านบาท เพื่อให้บริการทางการแพทย์เฉพาะทาง เช่น ศูนย์ประสาทวิทยา ศูนย์กระดูกสันหลัง และศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในอีก 2 ปี และจะกลายเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงความร่วมมือด้านเทคโนโลยีขั้นสูงและศูนย์บุคลากรกับพันธมิตรในอเมริกา เยอรมนี และญี่ปุ่น
นอกจากนี้ จะพัฒนาเครือข่าย Center of Excellence ในโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท, สมิติเวช ศรีนครินทร์, พญาไท 2, รพ.กรุงเทพ พัทยา, รพ.กรุงเทพ ภูเก็ต, รพ.กรุงเทพ อุดรธานี และ รพ.กรุงเทพ เชียงใหม่
ขณะที่โรงพยาบาลลูกอื่นๆ อย่างพญาไท 3 ล่าสุดเตรียมเปิดให้บริการศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง ศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัย หรือ Phayathai 3 Wellness And Aging Center (PWA Life Center) เพื่อรองรับกลุ่มผู้สูงอายุระดับพรีเมียม รวมทั้งลงทุนเปิดศูนย์การแพทย์เฉพาะทางขนาดใหญ่อีก 20 ศูนย์
นพ.อนันตศักดิ์ อภัยรัตน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพญาไท 2 ในเครือ BDMS เปิดเผยว่า รพ.พญาไทวางแผนยกระดับ “ศูนย์การแพทย์ที่เป็นเลิศครบวงจร” หรือ Center of Excellence ตามนโยบายของบริษัทแม่ โดยเตรียมเงินลงทุน 800 ล้านบาท พัฒนาโปรแกรมด้านการรักษา โดยเฉพาะในกลุ่มศูนย์การแพทย์ของโรงพยาบาลที่มีความโดดเด่นอยู่แล้ว แม้โรงพยาบาลอื่นๆ อาจมีบริการเช่นเดียวกัน แต่พญาไท 2 มีจุดเด่นด้านความเป็นเลิศและได้มาตรฐานสากล
เช่น ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพและอาชีวเวชศาสตร์ ร่วมกับ Oregon Health & Science University (OHSU) เพิ่มความเข้มข้นในโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพให้ลูกค้าและผู้ป่วยปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างสิ้นเชิง เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคกลุ่ม NCDs หรือกลุ่มโรคที่เกิดจากพฤติกรรม ได้แก่ มะเร็ง โรคหัวใจ เบาหวาน ไตวายเรื้อรัง อัมพาต อัมพฤกษ์ รวมทั้งให้บริการเรื่องการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม
ศูนย์การรักษาหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง (Aortic Excellence Center) โดยแพทย์เฉพาะทาง ซึ่งสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยโรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพองมากกว่า 2,000 ราย และนำเทคโนโลยีห้องผ่าตัดอัจฉริยะ Hybrid Operating Room มาเพิ่มประสิทธิภาพของแพทย์ผ่าตัด
สำหรับศูนย์สุขภาพหญิง (Women Center) ซึ่งเป็นศูนย์ที่ได้รับการยอมรับในกลุ่มคนไข้และวงการแพทย์ เน้นเทคโนโลยีด้านการผ่าตัดรักษาแบบไร้แผล ทำให้การผ่าตัดส่องกล้องแผลเดียวง่ายขึ้นมาก นอกจากนี้ ยังมีศูนย์สมองและระบบประสาท (Neurological Center) บริการการรักษาด้านสมอง และระบบประสาทอย่างครบวงจร มีเครื่องกำหนดตำแหน่งในสมองเสมือนจริง (Neuro-navigator) และศูนย์อุบัติเหตุ-ต่ออวัยวะ (Trauma and Replantation Center) เป็นศูนย์กลางการให้บริการผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ลดอัตราการสูญเสียอวัยวะ และกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม
ศูนย์ทั้งหมดของพญาไท 2 และศูนย์อื่นๆ ในกลุ่ม BDMS อีก 40 กว่าแห่ง จะรองรับบิ๊กโปรเจกต์ BDMS Wellness Clinic ซึ่งกำลังเปิดตัวอย่างครบวงจรภายในปี 2560 ทั้งดูแล ฟื้นฟู และรักษาทางการแพทย์
เพราะเป้าหมายของ “หมอเสริฐ” ไม่ใช่แค่ตลาดในประเทศหลักหมื่นล้าน แต่ชูธงฮุบตลาดใหม่ ขนาดใหญ่กว่าและมีเม็ดเงินมากกว่าแสนล้านรออยู่ข้างหน้า