Column: Women in Wonderland
อย่างที่ทราบกันดีว่าตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว หลายประเทศในทวีปยุโรปต้องเผชิญปัญหาผู้อพยพลักลอบเข้ามาอยู่ในยุโรปมากเกินไป ทำให้หลายประเทศที่แม้จะมีฐานะทางเศรษฐกิจดีและสามารถรับผู้อพยพมาอยู่ในประเทศได้จำนวนหนึ่ง อย่างเยอรมนี สวีเดน และออสเตรีย ก็ยังต้องเผชิญปัญหา การที่มีผู้อพยพทั้งที่ขอลี้ภัยแบบถูกกฎหมายและที่ลักลอบเข้าประเทศมากเกินไป อาจส่งผลให้มีปัญหาอาชญากรรมและการว่างงานเพิ่มมากขึ้น และยังอาจเป็นโอกาสในการแฝงตัวแทรกซึมเข้ามาในประเทศต่างๆ ในยุโรปของผู้ก่อการร้ายอีกด้วย
สถานการณ์ผู้อพยพยิ่งแย่ลงไปอีกเมื่อสถานการณ์สงครามกลางเมืองในประเทศซีเรียมีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีชาวซีเรียหรือคนมุสลิมจำนวนมากขอลี้ภัยไปอยู่ในหลายประเทศในยุโรป และมีจำนวนมากยอมเสี่ยงชีวิตเดินทางลักลอบเข้าทวีปยุโรป
องค์กรระหว่างประเทศเพื่อการย้ายถิ่นฐาน (International Organization for Migration หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า IOM) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้องค์การสหประชาชาติ ได้เปิดเผยว่า ในช่วงเวลา 8 เดือนของปีที่แล้ว (พ.ศ.2558) มีคนอพยพเข้ามาอยู่ในยุโรปถึง 267,121 คน ในขณะเดียวกันก็มีผู้เสียชีวิตถึง 3,000 คน จากการลักลอบเข้ามาในทวีปยุโรป โดยส่วนใหญ่จะเดินทางข้ามทะเลมา และสาเหตุการเสียชีวิตมาจากเรือประสบเหตุอับปางลงกลางทะเล การขาดอากาศหายใจ และถูกรมด้วยควันพิษจากเครื่องยนต์ของเรือ เพราะมีผู้อพยพจำนวนมากที่ขออาศัยมากับเรือของพวกนายหน้าขบวนการค้ามนุษย์ และพวกเขาจะถูกขังรวมกันไว้ใต้ท้องเรือในสภาพที่แออัด
จากการสำรวจจำนวนผู้อพยพครั้งหลังสุดพบว่า มีคนซีเรียที่อพยพเข้าไปอยู่ในยุโรปแบบถูกกฎหมายแล้ว 313,000 คน โดยเยอรมนีรับผู้อพยพไว้มากที่สุดประมาณ 89,000 คน และสวีเดนรับไป 62,000 คน ผู้อพยพที่เหลือก็กระจายไปตามประเทศต่างๆ ในยุโรป
การที่รัฐบาลในประเทศต่างๆ รับผู้อพยพเข้ามาอยู่จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ประชาชนในหลายประเทศเริ่มไม่พอใจและมีการรวมกลุ่มกันต่อต้านไม่ให้รัฐบาลรับผู้ลี้ภัยเหล่านี้เข้ามาอยู่ในประเทศ อย่างเช่นเยอรมนี ที่มีจำนวนผู้อพยพลี้ภัยเข้าไปอยู่มากที่สุด ทำให้ชาวเยอรมันไม่พอใจและมีการตั้งกลุ่มต่อต้านชาวมุสลิมตามเมืองต่างๆ พวกเขามีความคิดร่วมกันว่า ไม่ต้อนรับคนมุสลิมในประเทศเยอรมนีและประเทศอื่นๆ ในทวีปยุโรป
นอกจากนี้พวกเขายังรวมกลุ่มเดินขบวนต่อต้านในหลายเมือง และการเดินขบวนในแต่ละครั้งก็มีชาวเยอรมันเข้าร่วมหลายหมื่นคน สาเหตุหลักที่ทำให้คนยุโรปออกมาต่อต้านการอพยพเข้ามาของคนมุสลิมคือ พวกเขากังวลเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และปัญหาการตกงานอีกด้วย เพราะการที่มีคนอพยพเข้ามาจำนวนมาก โอกาสที่คนอพยพเหล่านี้จะเข้ามาแย่งงานทำนั้นมีสูงมาก และพวกเขาอาจจะกลายเป็นคนตกงานได้ในอนาคต
ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เมื่อวันที่ 31 ธันวาคมที่ผ่านมา ประชาชนส่วนใหญ่จะออกไปข้างนอกเพื่อฉลองวันปีใหม่ที่จะมาถึง แต่ปรากฏว่าที่ประเทศเยอรมนีกลับมีเหตุการณ์เลวร้ายต่อผู้หญิงและประชาชนที่ออกมาเฉลิมฉลองวันปีใหม่ในหลายๆ เมือง อย่างเช่นที่เมืองโคโลญจน์ มีผู้หญิงจำนวนมากถูกลวนลามทางเพศบนถนน และที่สถานีรถไฟซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมากที่เดินทางไปดูดอกไม้ไฟ ตำรวจรับแจ้งความจากผู้หญิงจำนวนมากว่าพวกเธอถูกปล้นและถูกลวนลามในรูปแบบคล้ายๆ กันคือ พวกเธอจะถูกรุมล้อมด้วยกลุ่มของผู้ชายที่มีลักษณะคล้ายคนมุสลิมประมาณ 12 คน หลังจากนั้นพวกเขาจะเริ่มค้นทรัพย์สินมีค่าและลวนลามทางเพศ และมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้ไปแจ้งความว่าเธอถูกข่มขืน
หญิงสาวคนหนึ่งอายุ 18 ปี นามสมมุติว่า Michelle ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวของเยอรมนีเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ประมาณ 5 ทุ่มของคืนวันสิ้นปี เธอและเพื่อนอยู่ที่สถานีรถไฟ กำลังจะนั่งรถไฟไปดูดอกไม้ไฟ สังเกตเห็นกลุ่มผู้ชายคล้ายคนมุสลิมมายืนล้อมพวกเธอ เมื่อพวกเธอพยายามที่จะหนีออกมา ผู้ชายเหล่านั้นก็กันไม่ให้พวกเธอออกมา พวกเขาอาศัยจังหวะเดียวกันขโมยโทรศัพท์ของพวกเธอออกจากกระเป๋า และพวกเธอยังเห็นด้วยว่า กลุ่มคนเหล่านี้โยนประทัดเข้าไปในฝูงชนที่กำลังยืนรอรถไฟทำให้ผู้คนแตกตื่นตกใจ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ชาวเยอรมันมองว่าเป็นความบกพร่องในหน้าที่ของตำรวจเมืองโคโลญจน์ ที่ไม่สามารถป้องกันอาชญากรรมไม่ให้เกิดขึ้นได้ ในขณะที่ตำรวจที่อยู่นอกเมืองโคโลญจน์จับผู้ต้องสงสัยได้ 8 คน และทั้ง 8 คนนี้เป็นผู้ขอลี้ภัยมาอยู่ที่เยอรมนี ในขณะที่ตำรวจเมืองโคโลญจน์ได้อธิบายเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ว่า ตำรวจไม่สามารถจับผู้ที่กระทำผิดเหล่านี้ได้ในทันทีเพราะผู้เสียหายไม่สามารถบรรยายลักษณะของผู้ที่กระทำผิดได้ พวกเขาบอกแค่ว่าเป็นคนที่มีลักษณะเหมือนคนมุสลิมและมากันเป็นกลุ่ม ทำให้ยากในการตามหาผู้กระทำผิด
รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมของเยอรมนี Heiko Maas พูดถึงเรื่องนี้ว่า เป็นการก่อเหตุอาชญากรรมรูปแบบใหม่ ซึ่งตำรวจต้องปรับตัวและหาทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก และรัฐบาลไม่ได้เป็นห่วงเรื่องการจับตัวผู้กระทำผิด แต่กังวลเรื่องความสงบสุขในสังคมมากกว่า เพราะชาวเยอรมันจำนวนมากไม่พอใจเรื่องรับผู้ลี้ภัยเข้ามาอยู่ในประเทศอยู่แล้ว แล้วยังเกิดเหตุการณ์ที่ผู้กระทำผิดเป็นคนมุสลิมที่เพิ่งอพยพเข้ามาอีก
หลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นชาวเยอรมันเกิดความไม่พอใจรัฐบาลมากยิ่งขึ้น ที่รัฐบาลเยอรมันต้อนรับผู้อพยพชาวมุสลิมเข้ามาในประเทศจำนวนมาก นายกรัฐมนตรีหญิงของเยอรมัน Angela Merkel ประณามการก่อเหตุและยืนยันว่าผู้ที่กระทำผิดไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหนหรือศาสนาไหนก็จะต้องได้รับโทษเท่าเทียมกัน
หลังเกิดเหตุการณ์นี้ในเยอรมนี นอร์เวย์ สวีเดน และเบลเยียม มีการอบรมให้กับผู้อพยพที่จะขอลี้ภัยมาอยู่ในสองประเทศนี้ อย่างที่นอร์เวย์ รัฐบาลบังคับให้ผู้อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศต้องเรียนรู้ที่จะไม่ข่มขืนผู้หญิง ใจความสำคัญของการอบรมนี้คือ การบังคับให้ใครก็ตามมีเพศสัมพันธ์ด้วยถือเป็นเรื่องผิดกฎหมายในประเทศนอร์เวย์ ถึงแม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นภรรยาของคุณก็ตาม นอกจากนี้ยังสอนเกี่ยวกับวัฒนธรรม และเรื่องที่ควรรู้ อย่างเช่นสัญลักษณ์หรือท่าทางที่คนใช้กันในสังคม เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน
สาเหตุที่รัฐบาลนอร์เวย์ต้องบังคับให้ผู้อพยพเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมของคนนอร์เวย์ก็เพราะผู้อพยพมาจากอีกวัฒนธรรมหนึ่ง โดยเฉพาะศาสนาอิสลามให้สิทธิผู้ชายมากกว่าผู้หญิงในสังคม และเมื่อคนเหล่านี้ย้ายมาอยู่ในประเทศอื่นที่ให้สิทธิผู้หญิงและผู้ชายในสังคมเท่ากัน ทำให้บ่อยครั้งชายชาวมุสลิมปฏิบัติหรือแสดงออกต่อผู้หญิงในเชิงไม่ให้เกียรติทำให้กลายเป็นปัญหาสังคมในภายหลัง
นอกจากนี้รัฐบาลนอร์เวย์ได้ทำการสำรวจในปี 2552–2554 ซึ่งเป็นปีที่มีสถิติคดีข่มขืนค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาอื่น พบว่ามากกว่า 75% ของผู้ที่กระทำผิดในคดีข่มขืนนั้นเป็นผู้ที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศนอร์เวย์ และยังพบอีกว่า เมืองไหนที่มีผู้อพยพเข้าไปอยู่เยอะ เมืองนั้นมีแนวโน้มที่จะเกิดเหตุอาชญากรรมสูง
หรือที่เบลเยียม รัฐบาลบังคับให้ผู้อพยพหรือคนที่ย้ายถิ่นฐานไปอยู่เบลเยียมที่ไม่ใช่คนยุโรปต้องเรียนเกี่ยวกับการเคารพสิทธิ์ของผู้หญิง และหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ในช่วงวันปีใหม่ขึ้นที่ประเทศเยอรมนี รัฐบาลเบลเยียมก็ได้เปิดการอบรมสำหรับผู้อพยพขึ้นที่ศูนย์อพยพ และยังมีการสอนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อผู้หญิงทั้งในเรื่องทั่วไปและการมีเพศสัมพันธ์ที่ต้องไม่เป็นการฝืนใจ
หลังจากที่หลายๆ ประเทศในทวีปยุโรปรับผู้ลี้ภัยเข้าไปอยู่ในประเทศ ทำให้สถิติการเกิดอาชญากรรมเพิ่มขึ้นในหลายแห่ง และรัฐบาลหลายประเทศในยุโรปก็เชื่อว่า การเปิดสอนเรื่องการเคารพสิทธิ์ของผู้หญิงให้กับผู้อพยพน่าจะช่วยลดปัญหาลงได้ส่วนหนึ่ง
ในขณะที่ประเทศในทวีปยุโรปให้ความช่วยเหลือผู้อพยพชาวมุสลิมจำนวนมาก แต่ 5 ประเทศในตะวันออกกลางที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด 50 อันดับแรกของโลก ซึ่งประกอบด้วย บาห์เรน คูเวต การ์ตา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และซาอุดีอาระเบีย กลับไม่อนุญาตให้ผู้อพยพเหล่านี้เข้ามาอยู่ในประเทศของตนเอง
ทั้ง 5 ประเทศนี้ให้เหตุผลว่าเป็นเรื่องของความปลอดภัยต่อประชาชนของพวกเขา เพราะกลัวว่าคนในกลุ่มไอซิสอาจจะแฝงตัวเข้ามาก่อเหตุ ทั้งๆ ที่ 5 ประเทศนี้มีวัฒนธรรมและนับถือศาสนาอิสลามเหมือนกับผู้อพยพชาวมุสลิมที่เป็นคนซีเรีย