วันศุกร์, พฤศจิกายน 22, 2024
Home > Cover Story > อุตสาหกรรม PPE เติบโตสูง โอกาสของไทยเป็นผู้นำในภูมิภาค

อุตสาหกรรม PPE เติบโตสูง โอกาสของไทยเป็นผู้นำในภูมิภาค

ภาคอุตสาหกรรมในไทยในช่วงเวลาต่อจากนี้มีแนวโน้มขยายตัวขึ้น อาจเกิดจากปัจจัยบวกของนโยบายรัฐบาลที่จะสนับสนุนการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมภายในประเทศ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก และการส่งเสริมการลงทุนของธุรกิจอย่างยั่งยืนภายใต้แนวคิด BCG

และอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตคือ อุตสาหกรรม PPE หรือ อุตสาหกรรมเกี่ยวกับอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล ที่นายกสมาคมวิศวกรรมความปลอดภัย ดร. วิฑูรย์ สิมะโชคดี บอกว่า “ตลาด PPE ไทยกำลังมีอนาคต”

“อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล หรือ PPE (Personal Protective Equipment) เป็นอุปกรณ์สำหรับสวมใส่เพื่อป้องกันการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยจากสถานที่ทำงาน ที่เป็นอันตรายต่อร่างกายและสุขอนามัย (Safety & Health) ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 8 ชนิด คือ อุปกรณ์ป้องกันศีรษะ อุปกรณ์ป้องกันหู แว่นนิรภัย ถุงมือนิรภัย รองเท้านิรภัย เข็มขัดนิรภัย หน้ากากกรองฝุ่นละออง เสื้อสะท้อนแสง

ปัจจุบันเป็นตลาดที่น่าจับตามาก โดยในปี 2566 ที่ผ่านมามีมูลค่าสูงถึง 83.91 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และปีนี้มูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 87.69 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ยังมีการคาดการณ์ว่าตลาดจะขยายตัวเพิ่มสูงถึง 128.57 พันล้านดอลาร์สหรัฐในปี 2575  ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยหลักๆ เช่น การเพิ่มขึ้นของอุบัติเหตุร้ายแรงและความเสี่ยงในที่ทำงาน การตระหนักถึงความสำคัญของความปลอดภัยและสุขอนามัยและการปฏิบัติตามข้อบังคับและมาตรฐานความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด รวมถึงการขยายตัวอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมก่อสร้าง ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีผู้เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่สูงที่สุดกว่า 1,000 คนต่อปี สูงที่สุดในอุตสาหกรรมทั้งหมด” ดร.วิฑูรย์ สิมะโชคดี นายกสมาคมวิศวกรรมความปลอดภัย อธิบาย

ขณะที่ตลาด PPE ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยมีมูลค่า 4.43 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2566 และคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 8.12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2573

ปัจจุบันตลาด PPE ของไทยมีขนาดใหญ่สุดในภูมิภาค คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 21% ของตลาดรวมในปี 2565 และคาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยที่สำคัญ 7 ข้อ ได้แก่ 1. การขยายตัวของอุตสาหกรรมหลัก เช่น น้ำมันและก๊าซ การกลั่นน้ำมัน การผลิตโลหะ และอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ป้องกันเพื่อความปลอดภัยในการทำงาน 2. ภาคอุตสาหกรรมและภาคสาธารณสุขไทยตระหนักถึงความสำคัญของการเสริมสร้างความปลอดภัยในการทำงานให้แรงงานและบุคลากร 3. แรงงานตระหนักถึงเรื่องความปลอดภัยและสุขอนามัย 4. สถิติการเกิดอุบัติเหตุขณะปฏิบัติหน้าที่ยังเพิ่มสูง 5. กระแสการใส่ใจสุขอนามัยยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 6. อัตราการเจ็บป่วยเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะโรคที่มีสาเหตุมาจาก PM2.5 และ 7. กฎหมายและมาตรฐานด้านความปลอดภัยที่เข้มงวดของภาครัฐ

จากปัจจัยดังกล่าวทำให้จีนที่เป็นประเทศต้นทางการจัดงาน CIOSH เลือกไทยเป็นเป้าหมายแรกในการขยายธุรกิจในต่างประเทศ และเตรียมจัดงาน CIOSH Thailand 2024 เป็นครั้งแรกในไทย เมื่อมองเห็นโอกาสการเติบโตของอุตสาหกรรม PPE

“การสร้างความปลอดภัยในที่ทำงานต้องครบทั้งกระบวนการตามหลัก 3E คือ 1. Engineering การออกแบบให้การทำงานมีความปลอดภัย 2. Education การอบรมให้ความรู้เรื่องการป้องกันอันตรายและเพิ่มความปลอดภัยให้แก่คนงานและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง และ 3. Enforcement การออกกฎข้อบังคับ ช่วยกำกับดูแลมาตรฐานความปลอดภัยต่างๆ  ซึ่งหากทำครบทั้งกระบวนการแล้ว แต่ยังเกิดอุบัติเหตุ อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลจะเป็นด่านสุดท้ายที่ช่วยป้องกันอันตรายและช่วยลดความสูญเสียได้ ผู้ประกอบการจึงควรหันมาให้ความสำคัญมากๆ และน่ายินดีที่ปีนี้จะมีการจัด China International Occupational Safety & Health Goods Expo หรือ CIOSH เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้ความสนใจและเห็นความสำคัญและช่วยยกระดับตลาดอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

CIOSH เป็นการจัดแสดงอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล เพื่อความปลอดภัยในการทำงาน และเพื่อสุขอนามัย โดยเฉพาะการทำงานในภาคการผลิต ซึ่งจัดโดยสมาคมการค้าสิ่งทอประเทศจีน (CTCA) องค์กรไม่แสวงหากำไร ภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลจีน ซึ่งงานนี้จัดต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2509 จนถึงปัจจุบันถูกจัดมาแล้วมากกว่าร้อยครั้ง และประสบความสำเร็จอย่างสูงทุกปี

ดร.วิฑูรย์ ขยายความว่า “ในปีนี้ ประเทศไทยได้รับคัดเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดงาน CIOSH Thailand 2024 เป็นครั้งแรก และจะจัดอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นเวทีกลางในการจัดแสดงอุปกรณ์นิรภัยเพื่อสุขอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานและเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงในสถานที่ทำงานแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย และผู้สนใจในเทคโนโลยี นวัตกรรม และสินค้าด้านอุปกรณ์นิรภัยเพื่อสุขอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานได้มีโอกาสเจรจาแลกเปลี่ยนทางการค้า และธุรกิจโดยภายในงานจะจัดแสดงอุปกรณ์ที่ครอบคลุมความปลอดภัยในการทำงานตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ได้แก่ 1. อุปกรณ์ป้องกันศีรษะ ตา หู และใบหน้า 2. อุปกรณ์ป้องกันมือและแขน 3. รองเท้านิรภัยและอุปกรณ์ป้องกันขา 4. ชุดป้องกัน ชุดทำงาน ผ้าที่มีคุณสมบัติพิเศษ และ 5. อุปกรณ์ป้องกันการตกจากที่สูง อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยในการทำงานบนที่สูง”

หากเทียบกับประเด็นความปลอดภัยในที่ทำงาน และการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มักเลือกที่จะสื่อสารด้านสิ่งแวดล้อมออกไปภายนอกมากกว่า นั่นเพราะสิ่งแวดล้อมสร้าง Impact กับคนภายนอกได้มากกว่า เมื่อเป็นเรื่องที่สื่อให้ความสนใจ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผู้ประกอบการในแวดวงอุตสาหกรรมจะละเลยเรื่องความปลอดภัยในที่ทำงาน เพียงแต่ส่วนใหญ่จะมองว่านี่เป็นประเด็นภายในองค์กร และไม่ได้ถูกนำเสนอออกมาภายนอก

การสร้างความปลอดภัย ลดความสูญเสีย คือกำไรที่ไม่สามารถตีค่าเป็นเงินได้

“ตลาด PPE ในไทย กำลังมีอนาคต มีศักยภาพที่จะเป็น Emerging Market ได้ เพียงแต่ผู้ประกอบการยังไม่ค่อยให้ความสำคัญหรือทุ่มงบประมาณเท่าเรื่องสิ่งแวดล้อม ทั้งที่ถ้าเทียบกันแล้ว หากเกิดอุบัติเหตุอาจทำให้เสียชีวิตได้ทันที แต่สิ่งแวดล้อมจะแค่ตายผ่อนส่ง ซึ่งความรุนแรงต่างกันมาก จึงอยากให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ผู้ประกอบการ รวมถึงคนงาน หันมาให้ความสำคัญกับเรื่องการป้องกันอันตรายส่วนบุคคลมากๆ เพราะนอกจากจะช่วยลดการบาดเจ็บรุนแรง ลดความสูญเสีย ซึ่งเป็นประโยชน์โดยตรงแล้ว ยังช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในการทำงาน เพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่ม Productivity ซึ่งจะสามารถเปลี่ยนเป็นกำไรที่เพิ่มขึ้นได้”

แม้ว่าไทยจะมีกฎหมาย ข้อกำหนด รวมถึงมาตรฐานด้านความปลอดภัยในที่ทำงาน ทว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการและคนงานยังมีความรู้ด้านนี้น้อยมาก ทำให้เลือกใช้อุปกรณ์ที่ยังไม่ค่อยเหมาะสมกับความจำเป็นในการใช้งาน และอาจต้องจ่ายแพงกว่าที่ควรจะเป็น  ดร.วิฑูรย์ ระบุว่า ภายในงาน CIOSH Thailand 2024 จะมีกิจกรรม Safety Clinic ที่มีผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้ คำปรึกษา คำแนะนำ รวมถึงการตอบคำถามเกี่ยวกับการป้องกันอุบัติเหตุ และการเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลตามความจำเป็นและเหมาะสม

“งานในครั้งนี้คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานจัดแสดงสินค้ามากกว่า 280 ราย จาก 12 ประเทศ และจะมีผู้เข้าชมงานประมาณ 5,000-6,000 คน โดยเป็นตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ กลุ่มผู้จัดซื้อ ผู้ประกอบการวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง ผู้ซื้อ ผู้ค้า ผู้จัดจำหน่าย ตัวแทน ผู้ซื้อแบบจ้างผลิต ซึ่งงานในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของการเปิดตลาดอุตสาหกรรมอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลในประเทศไทย และชี้ให้เห็นถึงศักยภาพและความพร้อมของภาคอุตสาหกรรมไทยที่สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก” ดร.วิฑูรย์ ทิ้งท้าย.