วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 21, 2024
Home > PR News > ยูนิลีเวอร์คว้ารางวัล HR Asia Best Companies to Work For 2023

ยูนิลีเวอร์คว้ารางวัล HR Asia Best Companies to Work For 2023

ยูนิลีเวอร์คว้ารางวัล HR Asia Best Companies to Work For 2023 สะท้อนความสำเร็จ 5 ปีซ้อน ตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนและยกระดับศักยภาพบุคลากรให้มีเป้าหมายในการทำงานรอบด้าน

ยูนิลีเวอร์ องค์กรชั้นนำที่ให้ความสำคัญกับการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอย่างยั่งยืน คว้ารางวัล HR Asia Best Companies to Work For 2023 โดยเป็นปีที่ 5 ที่ยูนิลีเวอร์ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ติดต่อกัน ตอกย้ำความสำเร็จด้านการบริหารจัดการบุคลากรและสะท้อนความมุ่งมั่นของยูนิลีเวอร์ที่ให้ความสำคัญกับภารกิจขององค์กร ในการสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนให้กับทุกคน ซึ่งขับเคลื่อนด้วยความเชื่อมั่นว่า การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้บุคลากรมีความก้าวหน้า แบรนด์มีการเติบโต และองค์กรมีความยั่งยืน ทั้งยังเป็นบทพิสูจน์ของความสำเร็จระดับนานาชาติในด้านการส่งเสริมความหลากหลายและการไม่แบ่งแยก การสร้างรูปแบบการทำงานในอนาคต และการดูแลคุณภาพชีวิตการทำงานรวมถึงความเป็นอยู่ที่ดีให้กับพนักงาน

นางสาว มิง ชู หลิง รองประธานฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคลประเทศไทยและภาคพื้นอาเซียน ยูนิลีเวอร์ กล่าวว่า “เรารู้สึกเป็นเกียรติและภาคภูมิใจที่ได้รับรางวัลทรงเกียรตินี้ติดต่อกันเป็นปีที่ 5 สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของยูนิลีเวอร์ในการดำเนินกิจกรรมรูปแบบต่างๆ เพื่อสร้างสรรค์สถานที่ทำงานที่ทุกคนสามารถค้นพบเป้าหมายของตนเองและทำให้เป้าหมายนั้นสอดรับไปกับภารกิจขององค์กร เกิดเป็นการสอดประสานทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การมีทีมงานที่พร้อมให้ความร่วมมือ รู้สึกเติมเต็ม และปรับตัวได้เร็ว ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตขององค์กร เราเชื่อว่าความสำเร็จของบริษัทฯ มีพนักงานเป็นจุดเริ่มต้น ดังนั้นเราจึงพัฒนาและดำเนินโครงการหลากหลายรูปแบบเพื่อมุ่งให้เกิดการพัฒนาทางอาชีพ ยกระดับสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน ส่งเสริมความหลากหลายและสนับสนุนความยั่งยืน”

ยูนิลีเวอร์เดินหน้าเต็มกำลังในการรังสรรค์สภาพแวดล้อมที่ไม่มีการแบ่งแยกและมอบโอกาสก้าวหน้าในเส้นทางอาชีพรวมทั้งสวัสดิการพิเศษให้กับทุกคนโดยไม่คำนึงถึงเพศสภาพและภูมิหลัง สำหรับประเทศไทย ยูนิลีเวอร์ภาคภูมิใจที่พนักงานระดับกลางกว่าร้อยละ 66 และผู้บริหารระดับอาวุโสกว่า 75% เป็นผู้หญิง ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ยูนิลีเวอร์กำหนดไว้ว่าต้องมีบุคลกรเพศหญิง 50% จากจำนวนพนักงานทั้งหมด นอกจากนี้ ยูนิลีเวอร์ยังให้สิทธิลาคลอดสูงสุดถึง 16 สัปดาห์เพื่อให้คุณแม่ทุกคนได้รับการดูแลอย่างเต็มที่ และมีวันลา 15 วันสำหรับคุณพ่อเพื่อโอกาสในการสานความสัมพันธ์กับลูกน้อย ขณะเดียวกัน สวัสดิการที่มีความยืดหยุ่นของยูนิลีเวอร์ยังครอบคลุมสำหรับคู่สมรสเพศเดียวกัน รวมถึงคู่สมรสที่กฎหมายไม่รองรับ นอกจากนี้ ในด้านการย้ายถิ่นฐานในการทำงาน (Workforce Mobility) ยังเปิดโอกาสในการย้ายงานทั้งแบบระยะสั้นและและระยะยาวให้กับพนักงานทั่วโลกโดยไม่จำกัดเพศและเชื้อชาติ

ยูนิลีเวอร์เดินหน้ากำหนดรูปแบบการทำงานในอนาคตเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรให้สามารถปรับตัวและก้าวหน้าท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกการทำงาน ภายใต้ 3 มิติสำคัญซึ่งประกอบด้วย งาน แรงงาน และสถานที่ทำงาน (work, workforce, workplace) โดยในส่วนของ ‘งาน’ พนักงานทุกคนจะได้รับการช่วยเหลือในการพัฒนาแผนการพัฒนาตนเองสำหรับอนาคต (Future Fit Plan) ซึ่งแผนดังกล่าวจะถูกสร้างจากเป้าหมาย ทักษะ ประสบการณ์ และภาวะความเป็นผู้นำของแต่ละคน ยูนิลีเวอร์สร้างโอกาสที่ชัดเจนและให้สิทธิพนักงานเป็นผู้กำหนดเส้นทางการเติบโตด้วยตนเอง สำหรับมิติด้าน ‘แรงงาน” ยูนิลีเวอร์เป็นผู้บุกเบิกการจ้างงานรูปแบบใหม่ โดยส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนผ่านของการทำงานรูปแบบเดิมๆ โดยการมอบหมายงานตามหน้าที่ (Task) แทนที่จะเป็นตามตำแหน่ง เพื่อให้การใช้ทรัพยากรบุคคลมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้พนักงานมีอิสระและปรับเปลี่ยนได้ตามแต่ละช่วงเวลาของชีวิตที่แตกต่างกัน ขณะที่มิติด้าน ‘สถานที่ทำงาน’ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของยูนิลีเวอร์ในการยกระดับประสบการณ์การทำงานแบบไฮบริด ซึ่งให้ความสำคัญกับการสร้างประโยชน์มากมายให้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นประสิทธิภาพการทำงาน ประสบการณ์ และคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น โดยการทำงานแบบไฮบริดยังสะท้อนความเชื่อมั่นของยูนิลีเวอร์ต่อสถานที่ทำงานว่ามีความสำคัญต่อธุรกิจและบุคลากร เนื่องจากสถานที่ทำงานช่วยมอบโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างพนักงาน ยูนิลีเวอร์ตั้งใจสร้างสมดุลระหว่างความต้องการส่วนบุคคล ทีม และธุรกิจ ทั้งยังกำหนดให้ทุกคนมาทำงานที่ออฟฟิศร้อยละ 40 ของเวลาการทำงานทั้งหมด ภายใต้ข้อตกลงและการยินยอมระหว่างผู้จัดการสายงานและพนักงานทั่วไป

ยูนิลีเวอร์ยังมุ่งมั่นเดินหน้าพันธกิจเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานอย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น สุขภาพจิต การมีสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว รวมถึงการเติบโต พร้อมเสริมศักยภาพของพนักงานทั้งชีวิตส่วนตัวและหน้าที่การงาน โดยมีโครงการ ‘Healthier U’ ที่ให้การสนับสนุนด้านต่างๆ ตามความต้องการของแต่ละบุคคล อาทิ โภชนาการ การออกกำลังกาย หรือสุขภาพจิต ในขณะที่โครงการ ‘ช่วยเหลือพนักงานตลอด 24 ชั่วโมง’ พร้อมให้ดูแลให้บริการด้านคำปรึกษา การฝึกสติ และความรู้เกี่ยวกับสุขภาวะทางการเงินที่ดีแก่พนักงานและครอบครัว ที่สำคัญ ความมุ่งมั่นของยูนิลีเวอร์ในการส่งเสริมชีวิตความเป็นอยู่ที่ดียังขยายไปสู่การดูแลความปลอดภัยทางจิตใจซึ่งช่วยให้พนักงานมีอิสระในการแสดงความคิดเห็นและสามารถเป็นตัวเองในแบบที่ดีที่สุดได้ในทุกๆ วันเมื่อมาทำงาน

นอกจากนี้ ยูนิลีเวอร์ยังได้จัดทำแบบสำรวจประจำปีกับพนักงานเพื่อประเมินกลยุทธ์และกิจกรรมที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของบุคลากร ซึ่งรวมถึงการสนับสนุนรูปแบบต่างๆ ที่เสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานและในสถานที่ทำงานอย่างต่อเนื่อง โดยยูนิลีเวอร์ได้คะแนนการประเมินสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรมจากทุกหมวดหมู่ ได้แก่ 1) ความหลากหลาย ความเสมอภาค และการไม่แบ่งแยก 2) การเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัล และ 3) การเป็นบริษัทที่เอาใจใส่มากที่สุด ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่าบุคลากรคือหัวใจสำคัญของยูนิลีเวอร์อย่างแท้จริง

“ยูนิลีเวอร์ขอขอบคุณพนักงาน พันธมิตร และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสำหรับความมุ่งมั่นอันยิ่งใหญ่ เราจะยังคงยึดมั่นในภารกิจของการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน เสมอภาค และไม่แบ่งแยกสำหรับทุกคน ทุกความพยายามไม่เพียงมีส่วนช่วยสร้างวัฒนธรรมที่ยอดเยี่ยมในที่ทำงาน แต่ยังมีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนความสำเร็จที่ยั่งยืนของบริษัทในระยะยาวอีกด้วย” นางสาว มิง ชู หลิง กล่าวสรุป

รางวัล HR Asia ‘Best Companies to Work for in Asia’ เป็นงานมอบรางวัลสำหรับองค์กรต่างๆ ซึ่งได้รับการยอมรับจากพนักงานว่าเป็นหนึ่งในบริษัทที่น่าร่วมงานด้วยที่สุดของเอเชีย และครองตำแหน่งนายจ้างที่ดีที่สุดสำหรับพนักงาน โดยมีบริษัทชั้นนำต่างๆ ทั่วภูมิภาคเป็นกลุ่มเป้าหมาย และมอบรางวัลแก่บริษัทที่มีแนวทางในการปฏิบัติงานด้านทรัพยากรบุคคลที่ดีที่สุด แสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมอย่างสูงของพนักงาน และมีวัฒนธรรมการทำงานที่ยอดเยี่ยม ทั้งนี้ เวทีการประกาศรางวัลอันทรงเกียรตินี้มีผู้สมัครจำนวนมากจากหลากหลายองค์กรที่อยู่ในรายชื่อ 500 บริษัทขนาดใหญ่ที่สุดของโลก (Fortune 500 และจากบริษัทอื่นๆ ในอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท ซึ่งครอบคลุมทั้งบริษัทข้ามชาติและบริษัทที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานภาครัฐ