วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 24, 2024
Home > Cover Story > จรัญพจน์ รุจิราโสภณ ต่อยอด “แซ่บคลาสสิก” สู่ Zaab Museum

จรัญพจน์ รุจิราโสภณ ต่อยอด “แซ่บคลาสสิก” สู่ Zaab Museum

กลายเป็น Big Move ตื่นตาตื่นใจ เมื่อ ส.ขอนแก่น เปิดเกมรุกใหม่ ซึ่งไม่ใช่แค่กลยุทธ์ต่อยอดแบรนด์ร้านอาหารอีสานในตำนาน “Zaab Classic” แต่ยังพลิกกลยุทธ์สร้างแรงดึงดูดแบบเปรี้ยงๆ โดยผนึกจุดแข็งของพันธมิตรอีก 2 ค่ายใหญ่ คือ มาม่าและล่าเมียว ปั้นแบรนด์ร้านอาหาร แซ่บ มิวเซียม (Zaab Museum) Seafood DIY เจ้าแรกในไทย

ที่สำคัญ การรวมตัวกันของ 3 หนุ่มนักธุรกิจคลื่นลูกใหม่ จรัญพจน์ รุจิราโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจในประเทศ บริษัท ส.ขอนแก่นฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SORKON พันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการสำนักกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด หรือ TFMAMA และรัตตรุจน์ ทองประดิษฐ์ เจ้าของแบรนด์ร้านอาหารจีน Spicy Cat ล่าเมียว ร่วมทุนจัดตั้ง บริษัท แอลเอ็ม เอสเค ไทยฟูดส์ จำกัด และประเดิมปลุกปั้น “แซ่บ มิวเซียม” จึงไม่ใช่เรื่องธรรมดา

ทั้งในแง่เงินทุน แบ็กอัพ เครือข่าย และไอเดียเด็ดๆ โดยเฉพาะการชูไฮไลต์เมนูอาหารไทยรสชาติจัดจ้าน มีเมนูซิกเนเจอร์ คือ มาม่าหม้อไฟทะเลเดือด ซึ่งลูกค้าสามารถครีเอตหม้อไฟและถ้วยมาม่าคัพของตัวเอง รวมถึงเมนูอื่นๆ ที่มีการประยุกต์ใช้เส้นบะหมี่มาม่านัวๆ เข้ากับอาหารไทยหลากหลายชนิด ตั้งแต่เมนูมาม่าแบบจานเดียว ราคาเริ่มต้น 69 บาท เซตอาหารจานเดียว เครื่องดื่ม ของกินเล่น และขนม ชุดละ 145-158 บาท

เมนูหลักๆ ทั้งสไตล์ไทยและเกาหลี มีมากกว่า 30 เมนู เช่น หม้อไฟเกาหลี ผัดกิมจิ ยำมาม่า ลาบมาม่า กะเพรา ผัดขี้เมา สุกี้ เขียวหวาน มาม่าไข่ตุ๋น ไข่เจียวมาม่า มาม่าเขียวหวาน มาม่าไข่ข้นแฮม/กุ้ง ผัดไข่เค็ม คาโบนาร่า เย็นตาโฟเกี๊ยวกรอบ

จรัญพจน์ รุจิราโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจในประเทศ ส.ขอนแก่นฟู้ดส์ เปิดเผยกับ “ผู้จัดการ360 องศา” ว่า แซ่บ มิวเซียม เป็นการร่วมทุนของพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่งแตกต่างกันไป คือ ล่าเมียว มีไอเดียสร้างสรรค์เมนูอาหารจานหลัก จานรอง เพื่อตอบสนองผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายหลักชาวจีน

ขณะที่ ส.ขอนแก่น คร่ำหวอดอยู่ในธุรกิจอาหารมานาน มีร้านอาหาร มีกำลังพล มีความสามารถในการดำเนินการหรือโอเปอเรชัน เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ ส่วนมาม่ามีผลิตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่สามารถต่อยอดสารพัดเมนูอร่อยแก่ลูกค้า

ทั้งนี้ บริษัทร่วมทุน แอลเอ็ม เอสเค ไทยฟูดส์ จำกัด มีทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท โดยล่าเมียวถือหุ้น 62% ส.ขอนแก่นถือหุ้น 19% และมาม่าถือหุ้น 19%

“คอนเซ็ปต์การเปิดร้านแซ่บมิวเซียม ถือเป็นโปรเจกต์ใหญ่ ทั้งขนาดของร้าน โดยสาขาแรกที่ในศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 มีพื้นที่ 200 ตารางเมตร เปิดให้บริการเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และเตรียมแผนขยายสาขา 2 ต่อเนื่องในศูนย์การค้าไอคอนสยาม ซึ่งไฮไลต์นอกจากการรังสรรค์เมนูเด็ดๆ จากบะหมี่ฯ จะมีการสาธิตวิธีการทำบะหมี่ฯ ให้ลูกค้าเห็น เป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่และ Engagement กับแบรนด์ รวมถึงการสแกนใบหน้าลูกค้าลงบนถ้วยบะหมี่ฯ เพื่อเป็นของที่ระลึก”

จุดขายนอกจากการรวบรวมเมนูอาหารไทยหลากหลาย กิมมิกต่างๆ บริษัทต้องการสร้างบรรยากาศในร้านเสมือนเป็นพิพิธภัณฑ์ โดยเฉพาะสาขา 2 ที่ศูนย์การค้าไอคอนสยาม เน้นการออกแบบภายในร้านให้เห็นรูปแบบการผลิตเส้นมาม่า ตกแต่งด้วยเครื่องจักรผลิตเส้น มีเส้นบะหมี่ตกแต่งส่วนต่างๆ ให้ลูกค้าเห็นกระบวนการต่างๆ

สำหรับกลุ่มเป้าหมายเน้นเจาะลูกค้าชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน เนื่องจากพันธมิตร “ล่าเมียว” เชี่ยวชาญการทำอาหารจีน เสิร์ฟชาวจีนมาแล้ว รวมถึงกลุ่มคนรักบะหมี่ฯ ด้วย ซึ่งที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวชาวจีนส่วนหนึ่งนิยมซื้อมาม่าเป็นของฝาก หรือนำกลับประเทศจีนด้วย

นั่นทำให้บริษัทตัดสินใจปักหมุดสาขาแรกในศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 อโศก เพราะเป็นจุดใหญ่ของกลุ่มนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวจีนนิยมแวะไปเที่ยว ไปจับ จ่าย รวมถึงไอคอนสยามด้วย ซึ่งทั้งสาขาเทอร์มินอล 21 และไอคอนสยาม สามารถรองรับลูกค้าได้กว่า 1,000 คนต่อวัน

แน่นอนว่า การเลือกทำเลสาขาถัดๆ ไปยังคงเน้นทำเลแหล่งท่องเที่ยวและ Food Destination ซึ่งการเลือกจังหวะในขณะนี้สอดรับกับการท่องเที่ยวไทยที่กำลังฟื้นตัวและและทางการไทยเร่งอัดฉีดมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเข้มข้นตลอดทั้งปี

แม้หลายฝ่ายหวั่นวิตกว่า สถานการณ์การเมืองอาจส่งผลกระทบต่อตลาดท่องเที่ยวไทย แต่เบื้องต้น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ยังคาดการณ์นักท่องเที่ยวจีน ซึ่งยังคงเป็นตลาดหลักและตลาดใหญ่ มีแนวโน้มจะเดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้น ดูจากสถิติการเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวจีนในเดือนเมษายน 2566 มีจำนวนกว่า 328,375 คน และช่วงเดือนพฤษภาคม เฉลี่ยเข้ามาประเทศไทยวันละกว่า 10,000 คน ภายใต้ข้อจำกัดในการทำวีซ่าและปริมาณเที่ยวบินที่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ (ดีมานด์)

ขณะเดียวกัน ททท. เร่งจัดทำแผนงานดึงดูดชาวจีนเข้ามาเที่ยวไทย เช่น การอำนวยความสะดวกในการยื่นขอวีซ่า การเพิ่มปริมาณเที่ยวบินระหว่างประเทศจากจีน และ ททท. ทั้ง 5 สำนักงานในจีน เร่งทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง เช่น การดำเนินกิจกรรม Joint Promotion ร่วมกับสายการบินและบริษัทนำเที่ยวชั้นนำ

ด้านภาพรวมตลาดร้านอาหารในประเทศไทยหลังโควิดคลี่คลายและไม่มีการแพร่ระบาดใหม่ ถือว่าฟื้นตัวและเติบโตต่อเนื่อง โดยปี 2565 มีมูลค่าเม็ดเงินสูงถึง 4.1 แสนล้านบาท

ตลาดขนาดใหญ่สุด ได้แก่ กลุ่มร้านเครื่องดื่ม คาเฟ่ มูลค่า 3 หมื่นล้านบาท ตามด้วยร้านอาหารญี่ปุ่น 2.5 หมื่นล้านบาท ร้านอาหารบริการด่วน ประเภทไก่ทอด 2.5 หมื่นล้านบาท หม้อร้อนหรือฮอตพอต 2 หมื่นล้านบาท ส้มตำ 1.6 หมื่นล้านบาท เบอร์เกอร์ 1 หมื่นล้านบาท เบเกอรี่ 1 หมื่นล้านบาท พิซซ่า 8,500 ล้านบาท ปิ้งย่าง 8,000 ล้านบาท ไอศกรีม 7,500 ล้านบาท อาหารตะวันตก 7,500 ล้านบาท อาหารเพื่อสุขภาพและสลัด 5,000 ล้านบาท โดนัท 4,100 ล้านบาท อาหารจีน 3,000 ล้านบาท และอาหารเกาหลีมูลค่า 3,000 ล้านบาท

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ประกอบการต่างคาดการณ์กันว่า ปี 2566 ตลาดสามารถเติบโต 2 หลัก โดยมีปัจจัยหลัก คือ นักท่องเที่ยวต่างชาตินั่นเอง.