วันศุกร์, พฤศจิกายน 22, 2024
Home > Cover Story > ไอ-เทล โรดโชว์ดันหุ้น ITC เจาะทาสหมา-แมว ขยายทั่วโลก

ไอ-เทล โรดโชว์ดันหุ้น ITC เจาะทาสหมา-แมว ขยายทั่วโลก

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ใช้เวลาเกือบ 3 ปี ปลุกปั้นให้ “ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น” เป็นบริษัทแกนนำ หรือ Flagship รุกธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยง หลังซุ่มลุยตลาดในฐานะผู้รับจ้างผลิต (OEM) ให้แบรนด์ดังๆ ทั่วโลกมานานหลายสิบปี และล่าสุดจัดงานโรดโชว์เสนอขายหุ้นไอพีโอ หวังระดมเม็ดเงินเต็มหน้าตักมากกว่า 2 หมื่นล้านบาท

แน่นอนว่า เป้าหมายของไอ-เทล ไม่ใช่ตลาดในประเทศไทย แต่ต้องการเร่งฐานตลาดต่างประเทศ ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตสูงมาก โดยอ้างอิงข้อมูลของบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจอเมริกัน วิจัยและวิเคราะห์ตลาด Frost & Sullivan ระบุภาพรวมตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงโลกเมื่อปี 2564 มียอดขายปลีกประมาณ 131,000-135,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือมากกว่า 4.8 ล้านล้านบาท และเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เฉลี่ย 5.5-5.8% ชนิดไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ไม่ว่าจะเป็นพิษโควิดหรือวิกฤตเศรษฐกิจ

ขณะเดียวกันหลังจากนี้ถึงปี 2569 ภาพรวมตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงโลกจะมีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี 7.1% จากกระแส Humanization เลี้ยงสัตว์เลี้ยงเหมือนเป็นสมาชิกในครอบครัวและเต็มใจใช้จ่ายเพื่อซื้ออาหารสัตว์เลี้ยงระดับพรีเมียม อาหารสัตว์เลี้ยงที่มีรูปลักษณ์ใกล้เคียงอาหารคน บวกกับการเพิ่มขึ้นของจำนวนครัวเรือนเดี่ยวและคู่สามีภรรยาที่ไม่มีบุตร ซึ่งมีแนวโน้มอยากเลี้ยงสัตว์มากขึ้น รวมถึงการเพิ่มขึ้นของจำนวนครัวเรือนที่เลี้ยงสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นผลจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ด้วย

หากพลิกดูข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนบริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC พยายามตอกย้ำความเป็นหนึ่งในผู้นำการรับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยงและขนมสำหรับแมวและสุนัข ทั้งผลิตภัณฑ์ระดับทั่วไป (Mainstream Products) ไปจนถึงระดับพรีเมียม (Premium Products) เน้นวัตถุดิบเนื้อปลาและเนื้อไก่

ฐานการผลิตหลักอยู่ในจังหวัดสมุทรสาครและสงขลา กำลังการผลิตรวม 172,786 ตันต่อปี และอยู่ระหว่างก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มกำลังการผลิต 18.7% และคาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จในปี 2566

ผลิตภัณฑ์มีหลายรูปแบบ เช่น เนื้อปลาทูน่าหรือเนื้อไก่ในเกรวี (Gravy) น้ำซุป (Broth) เยลลี่ (Jelly) ปาเต้ (Pate) ทั้งที่มีชั้นเดียวและหลายชั้น ชิ้นเนื้อนึ่ง (Steamed Chunk) และร็อกสตาร์ (Rockstar) รวมทั้งเมนูทานเล่น ขนมปลาเส้น รวมถึงการนำเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เบเกอรี่แปลกใหม่ เช่น พาย ขนมเค้ก มินิโคน

ปัจจุบัน ไอ-เทล มีกลุ่มลูกค้าตลาดต่างประเทศ ทั้งในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น และกลุ่มยุโรป ซึ่งถือเป็นฐานตลาดอาหารสัตว์ที่สำคัญ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีเม็ดเงินมากกว่า 38,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 6.3% และคาดการณ์ถึงปี 2569 จะเติบโตเฉลี่ยต่อปี 5.6%

ตลาดยุโรป 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 3% และคาดการณ์ถึงปี 2569 จะเติบโตเฉลี่ยต่อปี 2.9% และตลาดญี่ปุ่นมีเม็ดเงินรวม 4,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2564 อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 2.3% และคาดการณ์ถึงปี 2569 จะเติบโตเฉลี่ยต่อปี 2.1%

นอกจากนี้ วางแผนขยายไปยังประเทศตลาดใหม่ๆ อย่างประเทศจีน เพราะข้อมูลของ Frost & Sullivan พบว่า ในปี 2564 ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงสำหรับแมวและสุนัขในประเทศจีนมีมูลค่า 8,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 19.8% และจะมีมูลค่าถึง 22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2569 เพราะค่าใช้จ่ายต่อหัวสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศจีนยังอยู่ในระดับต่ำ หรือเท่ากับ 6.28 ดอลลาร์สหรัฐ เปรียบเทียบกับสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 114.92 ดอลลาร์สหรัฐ ทวีปยุโรปอยู่ที่ 63.06 ดอลลาร์สหรัฐ และญี่ปุ่นอยู่ที่ 36.69 ดอลลาร์สหรัฐ

เหตุผลสำคัญมาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ธุรกิจรูปแบบดั้งเดิมของประเทศจีนหยุดชะงัก ผู้จำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยงหันไปใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ขณะที่ภาพการเติบโตของชนชั้นกลาง การเพิ่มขึ้นของประชากรสูงอายุ และค่านิยมในการแต่งงานแล้วค่อยมีลูกทำให้คนจีนหันมาเลี้ยงสัตว์เลี้ยงมากขึ้น และเน้นคุณค่าทางโภชนาการของผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงระดับพรีเมียม เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาสัตว์เลี้ยง

ด้านตลาดประเทศไทย นอกเหนือจากการรับจ้างผลิตแล้ว บริษัทยังจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยงและขนมสำหรับสัตว์เลี้ยงภายใต้แบรนด์ของตัวเอง ได้แก่ Bellotta, Marvo, ChangeTer, Calico Bay และ Paramount ผ่านทางร้านขายสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง โรงพยาบาลสัตว์เลี้ยง คลินิกรักษาสัตว์เลี้ยง แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย

พิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในฐานะบริษัท Flagship ในการประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยงของกลุ่มไทยยูเนี่ยน บริษัทประกอบธุรกิจเกี่ยวกับอาหารสัตว์เลี้ยง (Pet Food Company) ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของเอเชีย และอยู่ใน 10 อันดับแรกของโลก มีช่องทางกระจายสินค้ากว่า 45 ประเทศทั่วโลก

ทั้งนี้ ผลประกอบการปี 2564 มีรายได้รวม 14,529 ล้านบาท เติบโต 15% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งพิชิตชัยย้ำว่า เป็นอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม ซึ่งอยู่ที่ระดับ 6.6% ต่อปี และช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 มีรายได้รวม 15,829 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเติบโตจากการขยายฐานลูกค้าใหม่และการสั่งซื้อเพิ่มขึ้นของลูกค้าหลัก ประกอบกับอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 3,726 ล้านบาท เติบโต 74.6% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

สำหรับแผนการลงทุนระยะ 3 ปีข้างหน้า (ปี 2566-2568) ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 4,200 ล้านบาท โครงการหลักๆ ได้แก่ การปรับปรุงและขยายกำลังการผลิตโรงงานในสมุทรสาครและสงขลาด้วยระบบอัตโนมัติ การลงทุนโรงงานแห่งใหม่เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต ซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์เพิ่มเติม เพิ่มพื้นที่การจัดเก็บสินค้าและคลังสินค้า

สร้างศูนย์ปฏิบัติการทดสอบรสชาติอาหารแมว ระบบการติดฉลากและบรรจุภัณฑ์แบบอัตโนมัติ โครงการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม รวมถึงผลิตภัณฑ์ใหม่

“บริษัทเริ่มจัดงานไอพีโอโรดโชว์เต็มรูปแบบที่โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพ เพื่อให้ผู้ร่วมงานเห็นจุดเด่น โอกาส และความน่าสนใจของหุ้น ITC ซึ่งมีนักลงทุนเข้าร่วมมากกว่า 300 คน พร้อมจัดงานในอีก 3 จังหวัด คือ วันที่ 17 พ.ย. ที่ขอนแก่น วันที่ 18 พ.ย. ที่สงขลา และปิดท้ายการโรดโชว์ในจังหวัดเชียงใหม่ วันที่ 21 พ.ย.”

ตามแผนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก หรือหุ้น IPO จำนวนรวมไม่เกิน 660 ล้านหุ้น ช่วงราคาเสนอขาย 30-32 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าเสนอขายรวมไม่เกิน 21,120 ล้านบาท โดยเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้นระหว่างวันที่ 22-25 พฤศจิกายนนี้ และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งคงต้องลุ้นว่า สถานการณ์ประเทศไทยจะเพิ่มแรงส่งหุ้น ITC ไปได้ไกลขนาดไหน.