ประเมินกันว่า ประชากรแมวเฉพาะในกรุงเทพฯ มีมากกว่า 4 แสนตัว และหากรวมทั้งประเทศไทยน่าจะทะลุเกินกว่า 3 ล้านตัว ยังไม่นับเพื่อนรักน้องหมาที่มีจำนวนไม่แตกต่างกัน นั่นทำให้ธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงสี่ขามีศักยภาพเติบโตได้อีกหลายเท่าในยุคสังคม Pet Friendly ที่เหล่า “มนุด” ยอมเป็น “ทาส” ปรนเปรอ “นาย” เหมือนสมาชิกในครอบครัว
ที่สำคัญ ไม่ใช่แค่ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง ยังรวมถึงบริการอาบน้ำ ตัดขน โรงพยาบาล และโดยเฉพาะโรงแรมแมว กำลังกลายเป็นอีกหนึ่งธุรกิจดาวรุ่งยุคหลังโควิดที่ผู้คนเริ่มออกมาใช้ชีวิตปกติและเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น ทั้งในและต่างประเทศ แต่ที่พักหรือรีสอร์ตที่สามารถรองรับทั้งเจ้าของและแมวยังมีจำนวนไม่มาก
ภรภัทร หมอยา กรรมการผู้จัดการธุรกิจ เพ็ทมาร์ท ร้านดีเด่น อาหารสัตว์ กล่าวกับ “ผู้จัดการ 360” ว่า ช่วงปีที่ผ่านมา บริษัทเริ่มขยายบริการในร้านดีเด่นสาขาใหม่ๆ ทั้งบริการอาบน้ำ ตัดขน (Grooming) บริการปรึกษาสัตวแพทย์ MOYA Pet Care และล่าสุด ทดลองเปิดให้บริการโรงแรมแมว Marry Cat’s Hotel เนื่องจากลูกค้าเรียกร้องเข้ามาอย่างมาก
ขณะเดียวกันตลาดโรงแรมแมวมีความต้องการสูงมาก โดยเฉพาะช่วงไฮซีซัน และไม่เพียงพอรองรับจำนวนประชากรน้องหมาน้องแมวที่มีคนเลี้ยงมากขึ้น แม้ช่วงก่อนหน้านี้อยู่ในสถานการณ์โควิดแพร่ระบาด ตลาดอาจไม่คึกคักมากเพราะคนส่วนใหญ่ทำงานอยู่ที่บ้าน (Work from Home) แต่ตอนนี้ผู้คนต่างออกมาใช้ชีวิตปกติ ปีนี้หรืออีก 4-5 ปี คนอยากเที่ยวมากขึ้น เพราะไม่ได้เที่ยวมานานแล้ว
เมื่อมีวันหยุดเขาจะวางแผนท่องเที่ยวและมีภาระดูแลน้องแมว ไม่สามารถพาไปได้ หรือต้องเดินทางไปต่างประเทศ ดังนั้น ดีมานด์สูงมาก ตลาดมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก
“การเปิดบริการใหม่ๆ มาจากเสียงเรียกร้องของลูกค้าและเราอยากขยาย Business Unit หลังมีประสบการณ์ในธุรกิจได้ระยะหนึ่งแล้ว ดีเด่น เพ็ทมาร์ท เด่นเรื่องแมว ลูกค้าเห็นเราเลี้ยงแมวในร้านเยอะ ลูกค้ามั่นใจ เชื่อมั่นว่าเรารักแมว ลูกค้าเรียกร้องมาเยอะ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมแมว อาบน้ำ ตัดขน บริการปรึกษาสัตวแพทย์ ทั้งหมดมาจากลูกค้าก่อน โดยเฉพาะโรงแรมแมวเป็นสิ่งที่เราอยากทำอยู่แล้ว พอมีคนเสนอพื้นที่อยากเซ้งกิจการต่อ เรารับตรงนั้นมาทำ ถือเป็นการศึกษาธุรกิจและตลาดไปในตัว”
ปัจจุบันบริษัท ดีเด่น เพ็ทมาร์ท มี Business Unit รวม 4 กลุ่ม คือ ธุรกิจเพ็ทมาร์ท ธุรกิจ Grooming ธุรกิจ Pet Care และธุรกิจโรงแรมแมว โดยล่าสุดร้านดีเด่น เพ็ทมาร์ทขยายสาขารวม 17 แห่ง ส่วนธุรกิจ Grooming และ Moya Pet Care จะขยายไปพร้อมๆ กับการเปิดร้านดีเด่น เพ็ทมาร์ทสาขาใหม่ๆ ซึ่งล่าสุดเข้าไปเปิดให้บริการแล้ว 4 แห่ง ได้แก่ สาขาไทรม้า-ท่าอิฐ สาขาบางศรีเมือง สาขาสุขุมวิท-ปากน้ำ และสาขาเสนานิคม เพื่อสร้างจุดขายด้านบริการแบบครบวงจร
สำหรับ Marry Cat’s Hotel อยู่ในโครงการ The Regent Street London ถนนรามอินทรา 109 เป็นอาคาร 3 ชั้น แบ่งเป็นห้องวีไอพี 7 ห้อง พักได้ห้องละ 4 ตัว ห้องขนาดกลาง สแตนดาร์ด 15 ห้อง พักได้ห้องละ 2 ตัว และห้องเดี่ยวรูปแบบแคปซูลอีก 20 ห้อง อัตราค่าเข้าพักเริ่มต้น 250-500 บาทต่อคืน มีอุปกรณ์พร้อมและทรายแมวฟรี ยกเว้นอาหารที่เจ้าของต้องนำมาเอง
“เท่าที่เปิดให้บริการ กระแสตอบรับจากลูกค้าดีมากเพราะค่าบริการไม่แพง มีลูกค้าจองต่อเนื่อง บางรายทำสัญญาพักรายเดือน บางรายฝากนานสุดถึงครึ่งเดือน เฉลี่ยอัตราเข้าพักเกิน 50% ยิ่งช่วงเทศกาลอัตราเข้าพักเต็มหมด อย่างตอนนี้มีลูกค้าเริ่มจองยาวถึงเดือนเมษายนปีหน้าแล้ว”
ภรภัทรบอกว่า จุดเด่นสำคัญของ Marry Cat’s Hotel คือความเชื่อมั่นของลูกค้าต่อผู้ประกอบการ เชื่อมั่นว่ามีความรักแมว ดูแลแมวดีแน่นอน จากที่เขาเห็นแมวที่เราเลี้ยงในร้านดีเด่น เพ็ทมาร์ท เราจะสามารถดูแลน้องแมวที่เสมือนสมาชิกในครอบครัว เหมือนลูกๆ เหมือนอยู่บ้าน มีเจ้าหน้าที่คอยดูแล ซึ่งมีความรักแมว มีความละเอียด ใส่ใจแมวของลูกค้า โดยเฉพาะการเอ็นเตอร์เทนน้องแมว เพราะการพักในสถานที่อื่นๆ แมวมักเกิดความเครียด มีอารมณ์กังวล
“เรามีวิธีทำให้หายเครียด คุณพ่อคุณแม่ที่มาฝากไม่ต้องกังวล พร้อมกับแจ้งเจ้าของและอัปเดตความเป็นอยู่ของน้องแมวต่อเนื่อง ลูกค้าส่วนใหญ่จะมาใช้บริการซ้ำเรื่อยๆ แฮปปี้”
อย่างไรก็ตาม กลุ่มโรงแรมแมวยังถือเป็น Business Unit ใหม่ของกลุ่มดีเด่น ยังไม่ได้เร่งทำตลาดในวงกว้าง เพราะบริษัทขยายเชนเพ็ทชอปและเน้นสร้างความแข็งแกร่งก่อน แต่ในปีหน้าเตรียมแตกสาขาใหม่ๆ โดยสาขาถัดไปอยู่ที่คอมมูนิตี้มอลล์เจ้าคุณวิลล่า จะเป็นโรงแรมแมวขนาดใหญ่ สวยงาม เพราะอยากให้เป็นสวรรค์ของแมว หลังจากนั้นวางแผนขยายสาขาต่อเนื่องอีก
ส่วนร้านเพ็ทมาร์ทปีนี้คาดว่าจบที่ 17สาขา และเน้นปรับระบบภายใน เพื่อรองรับการรุกตลาดในปีหน้า ทั้งในแง่การเติบโตและการแข่งขัน เพราะสังคมในอนาคตเป็นยุค Pet Friendly แม้แต่ตลาดคอนโดมิเนียม ศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าต่างๆ ทุกค่ายต่างมองตลาด Pet ยังเติบโต เพียงแต่มีคนที่อยู่ได้และอยู่ไม่ได้ ต้องปรับตัวมากขึ้น
“ปีหน้าแข่งขันรุนแรงแน่นอน ดูจากกลุ่มนายทุนรายใหญ่กระโดดเข้ามาลงทุนในธุรกิจเยอะมาก ซึ่งอันนี้คือโจทย์ใหญ่ของดีเด่น เพ็ทมาร์ท บริษัทขนาดกลาง และตลาดจะเกิด Big Change หลังรายใหญ่ลงมาเป็นผู้เล่นในตลาด รายเล็ก รายกลาง ต้องปรับตัวให้อยู่รอด ซึ่งถ้าดูราคาสินค้าเพ็ทมาร์ท ต้นทุนต่อหน่วย เรามั่นใจดีเด่นสู้ได้ แต่ต้องปรับโครงสร้างภายในและทำตลาดมากขึ้นให้ทันการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล”
เมื่อถามถึงแบรนด์ “ดีเด่น” กับการรับรู้ของลูกค้า ภรภัทรยอมรับว่า ต้องปรับปรุงและขยายการรับรู้ในวงกว้างมากขึ้น ซึ่งจริงๆ แล้ว ฐานของดีเด่นมีกลุ่มลูกค้าติดตามจำนวนมาก ดูจากเวลาปักหมุดขยายสาขาที่ไหน ทั้งสาขาพระราม 4 และสาขาเทพารักษ์ ที่มีแผนเปิดในปีหน้า ลูกค้าติดตามถามตลอดและส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าเพ็ทชอปขาประจำ
เธอบอกว่า ดีเด่นเป็นแบรนด์ที่ผู้ประกอบการปลุกปั้นขึ้นมาเอง เริ่มต้นจากการเลี้ยงหมา 2 ตัว และมีปัญหาซื้ออาหารสัตว์ยาก จนเห็นความต้องการของตลาดและศักยภาพของทำเลใกล้บ้าน เธอกับสามีจึงตัดสินใจเปิดร้านดีเด่นสาขาแรกย่านนิมิตใหม่ทั้งที่ไม่เคยอยู่ในวงการธุรกิจอาหารสัตว์ แต่อาศัยประสบการณ์จากการทำงานในบริษัทเอกชน ติดต่อหาซัปพลายเออร์และเลือกสินค้าจากข้อมูลความต้องการของลูกค้า ตอบทุกโจทย์แบบรู้จริง
“พวกนายทุนอาจไม่รู้จักเรา แต่ในมุมผู้บริโภคเขารู้จักเรา และแบรนด์ดีเด่นค่อนข้าง Strong พอสมควรในตลาด แต่ในอนาคต ถ้าต้องรีแบรนด์ ก็คือการปรับให้เติบโตไปข้างหน้า เราเป็นแบรนด์ที่เข้าถึงง่าย ไม่ใช่แบรนด์เจ้าสัว บางคนกลัวแบรนด์เจ้าสัว แต่แบรนด์เราอยู่กับคนเลี้ยงหมาแมวมานานพอสมควร เขารับรู้แบรนด์และเติบโตมาพร้อมๆ กัน”
ภรภัทรทิ้งท้ายว่า การรีแบรนด์เกิดขึ้นได้ เพื่อการเติบโตและรองรับอนาคตที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ แบรนด์ต้องอินเตอร์ ต้องเป็นสากล เป็นโจทย์ที่ต้องศึกษาและต้องกล้า Change เช่นกัน.