วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 24, 2024
Home > Cover Story > อาณาจักร A-ONE Group จากโมเต็ล สู่โรงแรมห้าดาว

อาณาจักร A-ONE Group จากโมเต็ล สู่โรงแรมห้าดาว

จากโมเต็ลขนาด 74 ห้อง ในชื่อ “เอ-วัน โมเต็ล” ที่ตั้งอยู่บริเวณซอยศูนย์วิจัย วันนี้ “เอ-วัน” ได้พัฒนาสู่ความเป็นโรงแรมห้าดาว และยังเป็นกลุ่มโรงแรมที่ยึดหัวหาดหนึ่งในทำเลที่ดีที่สุดของพัทยา เมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของไทย ด้วยพื้นที่กว่า 10 ไร่

เอ-วัน กรุ๊ป (A-ONE Group) ถือเป็นกลุ่มธุรกิจโรงแรมที่มีการบริหารงานแบบธุรกิจครอบครัว โดยมี “มิตร์ รัตนโอภาส” เป็นผู้บุกเบิก และถือเป็นอีกหนึ่งตำนานของเจ้าสัวที่มาจากเสื่อผืนหมอนใบ จนสามารถสร้างอาณาจักรทางธุรกิจที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งในชื่อ เอ-วัน กรุ๊ป ที่ส่งต่อจากรุ่นบุกเบิกสู่ทายาทรุ่นที่ 2 อย่าง “สมชัย รัตนโอภาส” และกำลังส่งต่อสู่รุ่นที่ 3

“ความเป็น เอ-วัน กรุ๊ป เริ่มมาตั้งแต่ยุคคุณพ่อคุณแม่ของผม โดยมีคุณพ่อ ‘มิตร์ รัตนโอภาส’ เป็นผู้บุกเบิก ท่านมาจากเมืองจีน เรียกว่าเสื่อผืนหมอนใบก็ว่าได้ แล้วมาก่อร่างสร้างตัวที่เมืองไทย ท่านก็ล้มลุกคลุกคลานมาเรื่อยๆ เรียนรู้การทำทองจนมาลงตัวที่ทำร้านจิวเวลรี เก็บหอมรอมริบ เจอวิกฤตก็หลายครั้ง ก่อนที่จะเข้าร่วมหุ้นกับเพื่อนทำโรงแรม ทำไปทำมาท่านก็อยากมีโรงแรมเป็นของตัวเอง เพราะตอนนั้นเป็นยุคที่โมเต็ลกำลังเฟื่องฟู จึงตัดสินใจสร้างโมเต็ลขึ้นมา โดยใช้ชื่อ เอ-วัน โมเต็ล” สมชัย รัตนโอภาส ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มโรงแรม เอ-วัน ทายาทรุ่นที่ 2 ผู้ร่วมบุกเบิกสร้างอาณาจักร เอ-วัน กรุ๊ป ร่วมกับคุณพ่อมิตร์ รัตนโอภาส เริ่มต้นบทสนทนาเพื่อบอกเล่าความเป็นมาของ เอ-วัน กรุ๊ป กับ “ผู้จัดการ 360 องศา”

มิตร์ รัตนโอภาส เริ่มการทำธุรกิจจากร้านจิวเวลรีส่งขายทั้งในและต่างประเทศ โดยกลุ่มลูกค้าหลักในสมัยนั้นคือทหารจีไอ หลังจากนั้นเขาได้ร่วมหุ้นกับเพื่อนทำธุรกิจโรงแรมในเครือรัตนโกสินทร์ ก่อนที่จะเริ่มคิดสร้างโรงแรมเป็นของตนเอง เพราะเป็นช่วงที่โมเต็ลกำลังเฟื่องฟู อีกทั้งธุรกิจจิวเวลรีก็อยู่ในช่วงขาลง ทำให้มิตร์ตัดสินใจซื้อที่ดินในซอยศูนย์วิจัย ซึ่งช่วงเวลานั้นยังเป็นทุ่งนา มีเพียงโรงพยาบาลกรุงเทพเป็นตึกเล็กๆ ตั้งอยู่

สมชัยกล่าวต่อว่า “พ่อกับแม่อยากทำโมเต็ลเพราะตอนนั้นโมเต็ลกำลังมาแรง ท่านก็เริ่มจากไม่มีความรู้อะไรเลย พยายามเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ไปขอใบอนุญาตในการสร้างโมเต็ล ซึ่งในสมัยนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ท่านก็ทำได้ จนสร้างโมเต็ลเล็กๆ ขนาด 74 ห้องขึ้น ตั้งชื่อว่า เอ-วัน โมเต็ล เป็นโมเต็ลกลางทุ่งนา ซึ่งตอนนั้นใครๆ ก็บอกว่าไม่รอดแน่นอนใครจะไป แต่พอเปิดบริการกลับได้รับการตอบรับที่ดีมากๆ จนผมกลับมาจากต่างประเทศก็มาช่วยท่านเต็มตัว”

จากโมเต็ลในกรุงเทพฯ สู่โรงแรมขนาดใหญ่ที่พัทยา

เมื่อ เอ-วัน โมเต็ล ประสบความสำเร็จ และธุรกิจจิวเวลรีเริ่มเป็นขาลง ทำให้ครอบครัวรัตนโอภาสหันมาทำธุรกิจโรงแรมเต็มตัว ขยาย เอ-วัน โมเต็ล เพิ่มอีก 123 ห้อง และยกระดับมาลงทุนทำโรงแรมระดับที่ดีขึ้นย่านซอยศูนย์วิจัย โดยการเปิด เอ-วัน บูทีค โฮเต็ล ขึ้นในปี พ.ศ. 2527 ก่อนที่จะขยายธุรกิจโรงแรมไปยังเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของไทยอย่าง “พัทยา”

“ผมมีน้าชายเข้ามาเปิดร้านจิวเวลรีและทำโรงแรมอยู่ที่พัทยาใต้ เราก็อยากขยับขยายโรงแรม เลยคุยกับเขา แล้วมีโอกาสได้มาเจอที่ดินแปลงนี้ประมาณ 3 ไร่ ในพัทยาซอย 3 ของคุณหมอชัยยุทธ ที่ประกาศขายในหนังสือพิมพ์ ผมก็ติดต่อไปยังอิตัลไทยขอซื้อที่ดินตรงนี้เพื่อมาสร้างโรงแรม แต่ตอนนั้นพัทยายังเงียบเหงาอยู่เลย ยังไม่มีตึกสูงๆ เหมือนอย่างตอนนี้”

สมชัยยังเล่าต่อไปว่า ตอนแรกครอบครัวตั้งใจจะทำเป็นโมเต็ลเหมือนเดิมเพราะเป็นสิ่งที่ถนัด แต่สุดท้ายเปลี่ยนมาสร้างเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ที่มีรูปทรงเป็นเรือแทน โดยใช้ชื่อว่า “โรงแรม เอ-วัน เดอะ รอยัล ครูซ พัทยา” โรงแรม 4 ดาว ที่เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 2531 เรียกได้ว่าเป็น Talk of the town ในยุคนั้น เพราะเป็นโรงแรมแห่งแรกของพัทยาที่สร้างเป็นรูปเรือและมีขนาดใหญ่ จนกลายเป็นภาพจำของพัทยาในช่วงนั้นเลยทีเดียว

หลังจากนั้น ในปี 2533 สมชัยกลับไปต่อยอด เอ-วัน ที่ซอยศูนย์วิจัยอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัวโรงแรม เอ-วัน กรุงเทพฯ เพิ่มอีกหนึ่งแห่ง ควบคู่ไปกับการสร้างอาณาจักรเอ-วัน ที่พัทยา ที่ดำเนินไปพร้อมกับการปรับภาพลักษณ์จากโมเต็ลสู่ความเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ที่พร้อมรองรับลูกค้าทุกกลุ่มทุกไลฟ์สไตล์

ปี 2550 เอ-วัน กรุ๊ป เปิดโรงแรม เอ-วัน พัทยา บีช รีสอร์ต โรงแรมที่มีแนวคิด Easy Wheelchair Access จับกลุ่มครอบครัวที่มีผู้สูงอายุ และเป็นโรงแรมเดียวที่มีทางหนีไฟสำหรับคนพิการ หลังจากนั้นในปี 2556 เปิดโรงแรม เอ-วัน สตาร์ โรงแรม 3 ดาว ตกแต่งเรียบง่ายสไตล์มินิมอล จับกลุ่มวัยรุ่น ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น “Mood Hotel” ตามมาด้วยโรงแรมเอ-วัน นิว วิง โรงแรม 4 ดาว ตกแต่งสไตล์ Cruise Ship จนกระทั่งแตกไลน์สู่โรงแรม 5 ดาว อย่าง “โรงแรมมิตร์ พัทยา” (MYTT Hotel Pattaya) จับกลุ่มวัยทำงาน

“จากที่ดิน 3 ไร่ในแปลงแรก เราทยอยซื้อที่ดินในซอย 3 เพิ่มมาเรื่อยๆ จนปัจจุบันเรามีที่ดินทั้งหมด 10 ไร่ ซึ่งก็ครึ่งค่อนซอยเข้าไปแล้ว และขยายโรงแรมจาก เอ-วัน ครูซ ไปเป็นโรงแรม 4 ดาว และ 5 ดาว อย่างโรงแรมมิตร์ ที่ลูกๆ ทั้ง 2 คน เขาเข้ามาช่วยผมทำงาน”

ไอเดียจากคนรุ่นใหม่ผสานของเดิมที่มีอยู่ สู่การขับเคลื่อนธุรกิจ

โรงแรมมิตร์ พัทยา ถือเป็นโรงแรม 5 ดาว ในเครือของเอ-วัน ที่จับกลุ่มลูกค้าลักซ์ชัวรีไลฟ์สไตล์ โดยมีลูกชายทั้ง 2 คนของสมชัย อย่าง อี้-ศุภชัย รัตนโอภาส และ โบ๊ต-ภัทร์ รัตนโอภาส เข้ามาช่วยผู้เป็นพ่อสานต่อธุรกิจของครอบครัว โดยศุภชัยดูแลด้านการบริหารและการตลาด ส่วนภัทร์รับผิดชอบงานด้านสถาปนิกและการออกแบบ

ซึ่งทั้งศุภชัยและภัทร์ถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจของครอบครัว โดยใช้ความรู้จากสิ่งที่เรียนและประสบการณ์จากการใช้ชีวิตมาประยุกต์ใช้กับการบริหารงานโรงแรม ที่เด่นชัดคือการหันมาโฟกัสกลุ่มลูกค้าคนไทยมากขึ้น รวมถึงการปรับภาพลักษณ์ของกลุ่มโรงแรมเอ-วัน พัทยา สู่การเป็น Lifestyle Destination ของทุกเจเนอเรชัน ตอบโจทย์ทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ

“แต่เดิมผมถนัดพวกลูกค้าที่เป็นบริษัททัวร์ ลูกค้าต่างประเทศกลุ่มใหญ่ๆ ไม่ได้โฟกัสตลาดไทยเลย แต่พอลูกๆ เขาเข้ามาทำซึ่งเป็นช่วงโควิดพอดี เขาเดินมาบอกผมว่า ‘ป๊า ถ้าเราไม่เปลี่ยนโรงแรมมารองรับตลาดไทย เราจะไปไม่รอด’ ซึ่งมันก็ถูกของเขา เพราะโลกมันเปลี่ยนเราต้องเปลี่ยนตาม”

“ผมเองก็อายุ 68 เข้าไปแล้ว คนอายุมากส่วนใหญ่ไม่ค่อยยอมเปลี่ยนแปลงอะไรหรอกคุณ การที่เราอยู่กับอะไรนานๆ จะให้ลุกขึ้นมาเปลี่ยนเองมันก็ยาก ดีที่ได้ลูกๆ เข้ามาช่วย มาชี้แนะชี้นำให้เรา และตัวผมเองก็พร้อมที่จะเปลี่ยนก็ลองทำกันไป เราเลยปรับปรุงโรงแรมและร้านอาหารให้รับกับคนไทยมากขึ้น”

นั่นทำให้กลุ่มโรงแรมเอ-วัน ดำเนินการปรับกลยุทธ์โดยหันมารุกตลาดไทยและปรับภาพลักษณ์ครั้งใหญ่ ทั้งการรีโนเวตทั้งโรงแรม โดยมีโรงแรมมิตร์ที่ตกแต่งสไตล์โมเดิร์น เรียบหรู คุมโทนสีขาว-น้ำเงิน พร้อมห้องพักระดับลักซ์ชัวรีมากถึง 236 ห้อง เป็นตัวชูโรง อีกทั้งยังมีแม่เหล็กสำคัญอย่างร้านซีฟู้ดคลับ Fat Coco, Pippa (พิปป้า) ร้านอาหารกึ่ง Rooftop Bar บนชั้น 19 ที่มีจุดขายอยู่ที่วิวพาโนรามาของทะเลพัทยา, วันทนา ร้านอาหารไทยต้นตำรับ, Pippin คาเฟ่ที่เป็นจุดเช็กอินสำคัญ และ Malibrew บาร์ขนาดใหญ่เป็นกลยุทธ์ดึงดูดลูกค้า ซึ่งที่ผ่านมาถือว่าได้รับความสนใจจากลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเป็นอย่างดี

“Pippa นี่เป็นอันแรกที่อี้เขาทำ เขาตั้งใจทำมาก ลงทุนไปเรียนทำอาหารที่กอร์ดอง เบลอ หาเชฟดีๆ ระดับมิชลินมาฝึกคน เขาไปเที่ยวมาก ก็เก็บประสบการณ์ที่ได้มาปรับใช้ ซึ่ง Pippa นี่วันศุกร์ เสาร์ จะขายดีมาก ลูกค้าชอบ” คำกล่าวสั้นๆ ของผู้เป็นพ่อ ที่แสดงถึงการยอมรับในฝีมือของลูกชายได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้เอ-วัน ยังได้ปรับโฉมโรงแรมที่กรุงเทพฯ จากภาพโมเต็ลเดิมๆ สู่การเป็นซิตี้รีสอร์ตพร้อมพูลวิลล่า เพื่อให้รับกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้ามากขึ้นอีกด้วย

กว่า 33 ปีของการทำธุรกิจ โควิด-19 คือความท้าทายที่สุด

ปัจจุบัน เอ-วัน กรุ๊ป เดินทางมานานถึง 33 ปี มีโรงแรมในเครือ 8 โรงแรม อยู่ในกรุงเทพฯ 3 โรงแรม และอีก 5 โรงแรมในพัทยา รวมจำนวนห้องพักทั้งสิ้นกว่า 1,400 ห้อง ซึ่งแน่นอนว่ากว่าจะมาถึงวันนี้ต้องผ่านความท้าทายมานับครั้งไม่ถ้วน แต่สิ่งที่ถือว่าเป็นความท้าทายและโจทย์ยากที่สุดในสายตาของสมชัยคือวิกฤตโควิด-19

“ถ้าถามทุกคนนะ ผมเชื่อว่าโควิดนี่แหละคือความท้าทายสุด เราเจอมาเยอะไม่ว่าจะเป็นซาร์สหรือวิกฤตอะไรก็ตาม แต่โควิดนี่มันอยู่กับเรามาเกือบ 3 ปีแล้วนะคุณ เราทำธุรกิจมา 30 กว่าปี ไม่เคยกู้แบงก์เลย ใช้เงินที่ได้จากการทำธุรกิจมาต่อยอด ได้กำไรตรงนี้ก็เอาไปสร้างเพิ่มตรงนั้น แต่เราต้องมากู้แบงก์ตอนมีโควิดนี่แหละ”

“ปกติเรามีเงินก้อนหนึ่งเก็บสำรองไว้เสมอ แต่เราไม่รู้ว่าโควิดมันจะอยู่นานขนาดนี้ ตอนนั้นเราเลยเอาเงินก้อนหนึ่ง 200-300 ล้าน ไปทุ่มรีโนเวตโรงแรมใหม่หมด ก็หมดไปเกือบ 300 ล้าน เลยต้องกู้แบงก์มาพยุงพนักงาน เพราะช่วงโควิดยังไงเราก็ต้องเปิดเพื่อรันระบบ ซึ่งโชคดีมาก ถ้าปิดเราคงยังไม่ได้เปิดจนถึงตอนนี้ เหมือนที่คุณเห็นในพัทยามีหลายโรงแรมที่ตอนนี้ยังไม่สามารถเปิดได้”

นอกจากนั้น สมชัยยังมองว่าตลาดพัทยาเป็นพื้นที่ปราบเซียน คู่แข่งเยอะและลูกค้าก็หลากหลาย แต่ยังถือเป็นตลาดที่มีโอกาสเติบโตต่อไปได้อีกไกล เพราะพัทยาเป็นเมืองท่องเที่ยวที่คนมาเที่ยวเยอะที่สุดรองจากกรุงเทพฯ อีกทั้งยังเป็นเมืองที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทั้งถนนและสาธารณูปโภคต่างๆ รวมถึงการพัฒนาของโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่จะส่งผลให้พัทยาได้รับอานิสงส์ไปในตัว

สำหรับการขับเคลื่อนธุรกิจต่อจากนี้ สมชัยกล่าวเพียงว่า “แผนต่อจากนี้ ผมได้คุยกับลูกๆ ว่าหลังโควิด เราจะทำสิ่งที่เรามีอยู่ให้มันดีและยั่งยืน เพราะเท่าที่มีอยู่ก็เยอะพอควรแล้ว ดีกว่ามีเยอะแล้วคุมไม่ถึงมันจะเสียหายหมด”

ปัจจุบันสมชัยในวัย 68 ปี ยังคงเป็นหัวเรือใหญ่ของอาณาจักร เอ-วัน กรุ๊ป บริหารงานทั้งที่กรุงเทพฯ และพัทยา โดยมีลูกชายทั้งสองคนเข้ามาเป็นมือขวาและมือซ้ายที่พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตต่อไป.