โคคา-โคล่า จับมือ แสนสิริ ต่อยอดความร่วมมือส่งเสริมการแยกขยะที่ต้นทาง ผ่านโครงการ “โค้กขอคืน x Sansiri Waste to Worth” เพื่อการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน
กลุ่มธุรกิจโคคา-โคล่า ในประเทศไทย อันประกอบไปด้วย บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมมือกับ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) สานต่อวิสัยทัศน์ระดับโลก World Without Waste สู่วงการอสังหาริมทรัพย์ไทย มุ่งส่งเสริมการแยกขยะตั้งแต่ต้นทางจากที่อยู่อาศัย ผ่านโครงการ “โค้กขอคืน x Sansiri Waste to Worth” ร่วมกับพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมตอบโจทย์ทุกบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ ในเครือแสนสิริ เก็บรวบรวมและนำส่งบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่ม และวัสดุรีไซเคิลอื่น ๆ ใน 6 โครงการที่อยู่อาศัยของ T77 Community เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างเหมาะสม สะท้อนความมุ่งมั่นของภาคธุรกิจในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และวงการอสังหาริมทรัพย์ ไทย ในการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
โครงการ “โค้กขอคืน x Sansiri Waste to Worth” นี้เป็นการต่อยอดโครงการ “โค้กขอคืน” ซึ่งเริ่มจากความร่วมมือในการสนับสนุนและจัดทำระบบส่งเสริมการแยกขยะที่ต้นทางภายในร้านอาหารและภัตตาคารของกลุ่มบริษัทเซ็นทรัลในปี 2562 และยังเป็นความร่วมมือที่ต่อยอดมาจากผลการทดลองทางเศรษฐศาสตร์เพื่อสร้างพฤติกรรมการแยกขยะ ด้วยแนวคิดการสะกิด อันเป็นความร่วมมือระหว่างโคคา-โคล่า แสนสิริ และคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งพบ 2 เงื่อนไขสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้คนไทยแยกขยะได้สำเร็จคือ การขจัด “ความยุ่ง” และ “ความยาก” โดยได้นำผลการศึกษาดังกล่าวมาปรับใช้ในออกแบบถังขยะที่เอื้อต่อการแยก และการสื่อสารกับลูกบ้านในโครงการ T77 Community ให้เห็นถึงความสำคัญ และวิธีการที่เหมาะสมในการแยกขยะ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง และกระตุ้นให้เกิดการลงมือปฏิบัติจริงในระยะยาว
นายพรวุฒิ สารสิน ประธานกรรมการ บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด กล่าวว่า “หนึ่งในเป้าหมายหลักของโคคา-โคล่า ภายใต้วิสัยทัศน์ระดับโลก World Without Waste คือการจัดเก็บบรรจุภัณฑ์เพื่อนำกลับมารีไซเคิลในปริมาณเทียบเท่ากับปริมาณบรรจุภัณฑ์ที่จำหน่ายออกสู่ตลาดให้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ก่อน พ.ศ.2573 และเพื่อจะบรรลุเป้าหมายที่ท้าทายดังกล่าว กลุ่มธุรกิจโคคา-โคล่า จึงต้องอาศัยความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีเป้าหมายสอดคล้องกัน และแสนสิริก็ถือเป็นพันธมิตรที่เห็นความสำคัญของการร่วมกันผลักดันให้เกิดการแยกขยะที่ต้นทาง ตั้งแต่ภายในที่อยู่อาศัย อันเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพ เพื่อลดปริมาณขยะ และนำวัสดุที่รีไซเคิลได้กลับมารีไซเคิลให้ได้มากที่สุด และเพื่อเป็นการลด “ความยุ่ง” และ “ความยาก” อันเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การแยกขยะที่ต้นทางไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร โคคา-โคล่า จึงได้เชิญสตาร์ตอัพแพลตฟอร์มการจัดเก็บขยะสมัยใหม่อย่าง GEPP เข้ามาช่วยดูแล เพื่อให้โครงการนี้ดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและประสบผลสำเร็จ”
ภายใต้ความร่วมมือนี้ การทำงานของ GEPP จะเข้ามาเสริมการทำงานของแสนสิริ ผ่านกระบวนการ Survey-Simplify-Educate โดย GEPP ทำการสำรวจเพื่อประเมินความรู้และความเข้าใจของลูกบ้านเกี่ยวกับการแยกขยะที่ถูกต้อง ขณะที่แสนสิริดำเนินการปรับเปลี่ยนชุดถังขยะซึ่งปรับมาจากผลการทดลองทางเศรษฐศาสตร์เพื่อสร้างพฤติกรรมการแยกขยะด้วยแนวคิดการสะกิด (Nudge) พร้อมร่วมมือกับพลัส พร็อพเพอร์ตี้ เพื่อกระตุ้นและให้ความรู้ด้านการจัดการขยะไปสู่ลูกบ้าน นอกจากนี้ GEPP ยังทำหน้าที่ในการให้ความรู้กับพนักงานและเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการจัดการและแยกขยะ รวมถึงแนวทางและข้อมูลการสื่อสารเพื่อให้ความรู้กับลูกบ้าน ตลอดจนประสานงานและจัดตารางการจัดเก็บขยะ พร้อมเก็บรวบรวมข้อมูลการคัดแยกขยะในแต่ละพื้นที่โครงการ เพื่อพัฒนาการจัดเก็บให้เป็นระบบมากขึ้น และมีมาตรฐานเพื่อให้สามารถนำไปปรับใช้กับโครงการที่อยู่อาศัยอื่นๆ ของแสนสิริได้ในอนาคต สำหรับขั้นตอนการเตรียมโครงการเริ่มตั้งแต่ในช่วงปลายปี 2562 และเริ่มดำเนินการจัดเก็บขยะจริงในเดือนมกราคม ปี 2563 เป็นต้นมา
นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ความร่วมมือกับโคคา-โคล่าในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับวิสัยทัศน์ที่มุ่งผลักดันและสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยในด้านความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม จาก Sansiri Green Mission สู่ Sansiri Sustainability 2020 โดยมี Sansiri Waste to Worth เป็นแคมเปญหลักภายใต้พันธกิจ Waste Management นอกจากโคคา-โคล่า ในฐานะพันธมิตรหลัก และ GEPP ในฐานะที่ปรึกษาโครงการ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นลูกบ้านและนิติบุคคลให้มีความรู้ความเข้าใจในการจัดการวัสดุรีไซเคิล ผ่านสื่อและแคมเปญต่างๆ เพื่อส่งเสริมการแยกขยะตั้งแต่ต้นทางกับลูกบ้าน ตลอดจนพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อลดปริมาณวัสดุรีไซเคิลไปสู่landfill ให้น้อยที่สุด ทั้งนี้ แสนสิริเดินหน้าต่อยอดความสำเร็จนี้ไปยังโครงการที่อยู่อาศัยอื่นๆ รวม 100 โครงการ และตั้งเป้านำวัสดุรีไซเคิล 100,000 กิโลกรัม เข้าสู่กระบวนการจัดการรีไซเคิลอย่างเหมาะสมภายในปี 2563 สะท้อนความมุ่งมั่นของแสนสิริในการเป็นต้นแบบการแยกขยะอย่างยั่งยืนของวงการอสังหาริมทรัพย์ และขยายผลต่อไปยังอุตสาหกรรมไทยในวงกว้าง”
ทั้งนี้ T77 Community เป็นโครงการที่อยู่อาศัยนำร่องในโครงการ โค้กขอคืน x Sansiri Waste to Worth ซึ่งครอบคลุม 6 โครงการ ได้แก่ BLOC 77, THE BASE Sukhumvit 77, THE BASE PARK EAST Sukhumvit 77, THE BASE PARK WEST Sukhumvit 77, mori HAUS และ hasu HAUS รวมลูกบ้าน 4,027 ครัวเรือน จากการรวบรวมข้อมูลการสำรวจของ GEPP พบว่า ลูกบ้านในโครงการดังกล่าวมากกว่า 50% ของมีความเข้าใจดีเกี่ยวกับการแยกขยะอย่างเหมาะสม ขณะที่การแยกวัสดุรีไซเคิลออกจากขยะประเภทอื่นๆ นั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อเทียบจากก่อนเริ่มโครงการฯ โดยในช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายนนั้น สามารถนำส่งวัสดุรีไซเคิลเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลไปแล้วถึง 23,852.60 กิโลกรัม และสามารถลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้ 17,917 kgCO2erecyle
“ข้อมูลเบื้องต้นจากผลการดำเนินโครงการ โค้กขอคืน x Sansiri Waste to Worth ในระยะเวลา 6 เดือน ส่งสัญญาณในทางบวกให้เราเห็นว่ายังมีคนอีกไม่น้อยที่พร้อมจะมีส่วนช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ด้วยการเริ่มแยกขยะที่ต้นทางภายในที่อยู่อาศัย ซึ่ง โคคา-โคล่า หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือของเราทั้งสองบริษัทนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงพฤติกรรมของผู้บริโภค โดยให้ความสำคัญกับการแยกขยะตั้งแต่ต้นทางอย่างถูกต้องและต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่เพียงกลุ่มลูกบ้านของแสนสิริเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประชาชนโดยทั่วไป เพื่อส่งเสริมการนำวัสดุรีไซเคิลกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างเหมาะสม นำไปสู่หนทางลดปริมาณขยะอย่างยั่งยืน” นายพรวุฒิกล่าวปิดท้าย