วันศุกร์, พฤศจิกายน 22, 2024
Home > On Globalization > ความรุนแรงในครอบครัวของคนผิวดำในประเทศอเมริกา

ความรุนแรงในครอบครัวของคนผิวดำในประเทศอเมริกา

Column: Women in Wonderland

ปัญหาการใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กนั้นอาจจะไม่ได้เป็นปัญหาโดยตรงที่กระทบกับความมั่นคงทางการเมือง หรือการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ จึงทำให้หลายประเทศไม่เห็นว่าปัญหาการใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กนั้นเป็นปัญหาที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข แต่หากเราได้พิจารณาเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า การใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกประเทศ ไม่เว้นแม้แต่ประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เป็นต้น ที่แย่ไปกว่านั้นคือ ปัญหาการใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับคนทุกชนชั้น ทุกเชื้อชาติ และทุกวัฒนธรรม

การใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กถือเป็นการแสดงออกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของบางสังคมที่ยังคงมีบรรทัดฐานและความเชื่อในสังคมว่า ผู้หญิงมีฐานะที่ต่ำต้อยกว่าผู้ชาย ทำให้ผู้หญิงถูกเลือกปฏิบัติจากผู้คนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เป็นต้น บรรทัดฐานและความเชื่อต่างๆ เหล่านี้ก็ยังคงมีอยู่ และยังคงถูกแสดงออกให้เห็นว่าผู้หญิงได้รับการเลือกปฏิบัติผ่านองค์กรทางสังคมและการเมืองต่างๆ อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งความเชื่อและบรรทัดฐานเหล่านี้ทำให้มีผู้หญิงและเด็กจำนวนไม่น้อยที่ต้องเผชิญกับความรุนแรงในครอบครัว

ในปี 2016–2017 องค์การสหประชาชาติและองค์การอนามัยโลกได้เปิดเผยข้อมูลสถิติเรื่องการใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กดังนี้

7 ใน 10 ของผู้หญิงจากทั่วโลกเคยถูกทำร้ายร่างกายหรือ/และถูกใช้ความรุนแรงทางเพศอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต

1 ใน 3 ของผู้หญิงจากทั่วโลกถูกทำร้ายร่างกายหรือ/และถูกใช้ความรุนแรงทางเพศจากคนที่เป็นสามีหรือคนรู้จักอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต

มีผู้หญิงถึง 603 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในประเทศที่การใช้ความรุนแรงในครอบครัวไม่ถือว่าเป็นอาชญากรรม

1 ใน 3 ของผู้หญิงที่แต่งงานแล้วหรือมีแฟนถูกทำร้ายร่างกายหรือ/และถูกใช้ความรุนแรงทางเพศจากคนที่เป็นสามีหรือเป็นแฟนอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต
38% ของผู้หญิงจากทั่วโลกที่ถูกฆาตกรรมโดยสามีของตัวเอง

1 ใน 4 ของผู้หญิงเคยถูกทำร้ายร่างกายหรือถูกใช้ความรุนแรงทางเพศระหว่างที่กำลังตั้งครรภ์

ผู้หญิงอายุระหว่าง 15–44 ปี มีความเสี่ยงสูงมากในการถูกข่มขืนและถูกทำร้ายจากคนในครอบครัวมากกว่าที่จะเป็นมะเร็ง ประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน สงคราม และเป็นโรคมาลาเรีย

จากสถิติข้างต้นนี้จะเห็นได้ชัดว่ามีผู้หญิงและเด็กหญิงเป็นจำนวนมากตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง ผู้หญิงและเด็กหญิงทุกคนในทุกประเทศล้วนมีโอกาสที่จะตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงเหมือนกัน ดังนั้นปัญหาเรื่องความรุนแรงในครอบครัวจึงไม่ใช่ปัญหาเล็กน้อยที่รัฐบาลส่วนใหญ่จะเพิกเฉยได้

ในประเทศสหรัฐอเมริกา สำนักงานสถิติแห่งชาติเปิดเผยว่า 1 ใน 4 ของผู้หญิงอเมริกาจะต้องเผชิญกับการถูกทำร้ายจากคนในครอบครัวอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต และในทุกๆ วัน จะมีผู้หญิง 3 คนที่ถูกฆาตกรรมจากคนที่เป็นสามี นอกจากนี้ 1 ใน 3 ของเด็กหญิงตกเป็นเหยื่อการถูกทำร้ายร่างกาย ถูกล่วงละเมิดด้วยคำพูด และอารมณ์ และทุกๆ 2 นาทีจะต้องมีคนอเมริกาอย่างน้อย 1 คนที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ

สถิติข้างต้นนี้เป็นเหมือนสัญญาณเตือนรัฐบาลว่า การใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อีกต่อไป ที่จะสามารถรอให้รัฐบาลมาสนใจแก้ไขได้ในอนาคต แต่ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องรีบแก้ไข โดยเฉพาะปัญหาการใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กที่เป็นคนผิวดำ

อย่างที่ทราบกันดีว่าประเทศอเมริกานั้นมีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่ และแน่นอนว่าอเมริกามีคนผิวดำอาศัยอยู่ค่อนข้างเยอะ ซึ่งผู้หญิงและเด็กหญิงที่เป็นคนผิวดำต้องตกเป็นเหยื่อความรุนแรงเช่นเดียวกับคนผิวขาว ซึ่งจากการสำรวจของสำนักงานสถิติพบว่า จำนวนผู้หญิงผิวดำในประเทศอเมริกาที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงนั้นมีมากกว่าผู้หญิงผิวขาว และที่แย่ไปกว่านั้นคือ เมื่อผู้หญิงผิวดำตกเป็นเหยื่อมักจะขอความช่วยเหลือต่างๆ จากหน่วยงานรัฐได้ยากมาก

ในปีที่ผ่านมา สถิติของประเทศอเมริกาแสดงให้เห็นจำนวนผู้หญิงผิวดำที่ถูกสามีทำร้ายร่างกายสูงกว่าผู้หญิงผิวขาวถึง 35% และผู้หญิงผิวดำยังถูกสามีทำร้ายร่างกายสูงกว่าเชื้อชาติอื่นๆ ถึง 22 เท่า ที่แย่ที่สุดคือเด็กหญิงผิวดำ 60% ถูกใช้ความรุนแรงทางเพศอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิตก่อนที่พวกเธอจะอายุ 18 ปีด้วยซ้ำไป

การที่เด็กหญิงผิวดำตกเป็นเหยื่อความรุนแรงทางเพศจำนวนมากนั้น ทำให้เด็กเหล่านี้กลายเป็นเด็กที่มีปัญหาและกลายเป็นผู้กระทำความผิดที่เป็นเด็กและเยาวชน จากสถิติของอเมริกาในช่วงหลายปีมานี้พบว่า 90% ของผู้กระทำความผิดที่เป็นเด็กหญิงนั้นล้วนเคยตกเป็นเหยื่อความรุนแรงทางเพศมาก่อน

สถิตินี้ชี้ให้เห็นว่าเด็กหญิงที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงทางเพศจะมีผลกระทบด้านจิตใจ และถ้าหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธีอย่างต่อเนื่องจะทำให้เด็กเหล่านี้กลายเป็นเด็กที่มีปัญหา มีรายงานว่า เด็กหญิงผิวดำที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงทางเพศ มักจะเป็นเด็กที่มีปัญหาในโรงเรียนตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาเลยทีเดียว โดยเด็กเหล่านี้มักจะถูกรายงานการกระทำผิดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ นอกจากนี้ตัวเลขสถิติที่ผ่านมายังชี้ให้เห็นว่า เด็กหญิงผิวดำที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงทางเพศนั้นมีแนวโน้มที่จะกระทำผิดมากกว่าเด็กหญิงที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงในรูปแบบอื่นๆ

การที่ผู้หญิงถูกทำร้ายทางเพศและมีการเหยียดสีผิวและเชื้อชาติในสังคมนั้น เรื่องนี้ส่งผลกระทบในระยะยาวต่อสังคม เพราะเมื่อทุกคนเห็นว่าการใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิงเป็นเรื่องปกติ หรือการปฏิบัติต่อคนผิวสีหรือต่างเชื้อชาติแบบไม่เท่าเทียมเป็นเรื่องปกติ หรือคิดว่าผู้หญิงและคนเชื้อชาติอื่นไม่เท่าเทียมกับตัวเอง ความคิดนี้จะส่งผลให้มีการเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงและคนเชื้อชาติอื่นในสังคมกว้างออกไป และความเชื่อผิดๆ เหล่านี้ก็จะส่งผลให้มีผู้หญิงจำนวนมากที่ต้องตกเป็นเหยื่อความรุนแรงจากสามี และสถานการณ์นี้ก็จะเลวร้ายมากยิ่งขึ้นสำหรับคนผิวดำ และยังมีความเชื่อว่ากฎหมายไม่สามารถช่วยอะไรพวกเธอได้ เพราะเป็นคนผิวดำ

การที่คนผิวดำไม่เชื่อมั่นว่ากฎหมายจะช่วยอะไรพวกเธอได้ เป็นเพราะบ่อยครั้งที่พวกเธอไปแจ้งความ ตำรวจไม่ได้ช่วยไกล่เกลี่ยหรือช่วยแยกผู้ใช้ความรุนแรงออกจากบ้านเหมือนกับในกรณีของคนผิวขาว แต่บ่อยครั้งที่เมื่อคนผิวดำไปแจ้งความ ตำรวจมักจะทำให้เรื่องร้ายแรงยิ่งขึ้น และสิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาเหมือนกันสำหรับคนที่มีเชื้อชาติอื่น ไม่ว่าจะเป็นคนผิวดำ คนมุสลิม หรือคนละติน คือเมื่อพวกเธอตกเป็นเหยื่อความรุนแรงในครอบครัว เมื่อไปแจ้งความ พวกเธอจะถูกบีบบังคับให้เลือกว่า จะทนอยู่ในบ้านแล้วเป็นเหยื่อความรุนแรงจากสามีต่อไป หรือจะเลือกให้ถูกส่งกลับประเทศของตัวเอง หรือต้องแยกกันอยู่กับลูก นอกจากนี้องค์กรต่างๆ ของภาครัฐที่คอยให้ความช่วยเหลือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรง ก็ให้ความช่วยเหลือได้อย่างจำกัดสำหรับคนผิวดำหรือคนเชื้อชาติอื่น

ยกตัวอย่างกรณีล่าสุดที่เกิดขึ้นในรัฐเทกซัส มีหญิงผิวดำคนหนึ่งเข้าไปขอความช่วยเหลือจาก Center Against Sexual and Family Violence หลังจากที่เธอตกเป็นเหยื่อความรุนแรงและถูกติดตาม เจ้าหน้าที่แนะนำให้เธอไปขอคำสั่งจากศาลคุ้มครองจากผู้ชายคนนี้ และเมื่อถึงวันที่ศาลพิจารณาคำสั่งนี้ ก็มีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองเข้ามาจับกุมเธอระหว่างที่ศาลกำลังพิจารณา เรื่องนี้ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากว่า ผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงไม่ควรที่จะต้องเลือกว่าจะถูกส่งกลับบ้านหรือต้องทนตกเป็นเหยื่อแบบนั้น

ถึงแม้ว่าในหลายกรณีที่คนผิวดำหรือคนต่างเชื้อชาติที่เข้ามาอยู่ในประเทศอเมริกาอย่างถูกกฎหมาย พวกเธอเหล่านี้ก็ยังต้องเผชิญปัญหาในเรื่องภาษาและการเข้ารับบริการช่วยเหลือต่างๆ ที่มีอย่างจำกัด ทำให้ผู้หญิงผิวดำหรือเชื้อชาติอื่นส่วนใหญ่เลือกที่จะตกเป็นเหยื่อความรุนแรงจากคนที่เป็นสามีมากกว่าไปแจ้งความต่อตำรวจหรือเข้าไปขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ

ปัญหานี้ทำให้องค์กร Young Women’s Christian Association (YWCA) ที่เป็นหน่วยงานหลักในการช่วยเหลือผู้หญิงผิวดำและผู้หญิงเชื้อชาติอื่น ที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงในครอบครัว โดยให้การช่วยเหลือในเรื่องการให้ที่อยู่ชั่วคราว ให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมาย และให้ความช่วยเหลือในการเยียวยาจิตใจเพื่อให้พวกเธอเหล่านี้สามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ ในแต่ละปี YWCA ช่วยเหลือผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงในครอบครัวประมาณ 530,000 คน

การช่วยเหลือผู้หญิงผิวดำหรือเชื้อชาติอื่นที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญ และผู้หญิงเหล่านี้ก็ควรที่จะได้รับการช่วยเหลือจากองค์กรต่างๆ เหมือนกับคนผิวขาว การมีเพียงไม่กี่องค์กรให้ความช่วยเหลือนั้นไม่เพียงพอ และรัฐบาลก็ควรที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยแก้ไขปัญหานี้ เพราะทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนผิวขาวหรือผิวดำต่างก็มีสิทธิเท่าเทียมกันในสังคม ไม่ควรที่จะมีใครถูกเลือกปฏิบัติเพียงเพราะมีสีผิวไม่เหมือนกัน
Photo Credit: http://www.freeimages.com/photo/girl-3-1440414

ใส่ความเห็น