AEC Leisure
อากาศเย็นปะทะใบหน้าทันทีที่ก้าวลงจากรถ ทะเลสาบกว้างกลางเมืองฉายภาพสะท้อนภูเขาน้อยใหญ่ที่โอบล้อมเมืองอยู่โดยรอบ ม่านหมอกที่แผ่คลุมเมืองและภาพชาวเขาเผ่าต่างๆ ในชุดประจำเผ่าที่สร้างสีสันและชูธรรมชาติรอบข้างให้งดงามมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น ทำให้ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมสถานที่แห่งนี้จึงเป็นหนึ่งหมุดหมายสำคัญในแผนที่ท่องเที่ยวของใครหลายคน
“ซาปา” เมืองแห่งขุนเขาและสายหมอก สถานที่ที่นักท่องเที่ยวหลายคนอยากไปเยือน ยิ่งเข้าช่วงฤดูหนาวอย่างนี้ด้วยแล้ว เชื่อแน่ว่า ซาปาจะเป็นจุดหมายของหลายๆ คนที่ต้องการสัมผัสลมหนาว สายหมอก และธรรมชาติที่งดงาม
ห่างจากกรุงฮานอยเมืองหลวงของเวียดนามไปทางทิศเหนือประมาณ 350 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของเมือง “ซาปา” (SaPa) ซึ่งอยู่ในเขตจังหวัดลาวไก (Lao Cai) จากฮานอยเราสามารถเดินทางมายังซาปาได้ทั้งทางรถยนต์และรถไฟ แต่ที่ได้รับความนิยมและสะดวกสบายที่สุดเห็นจะเป็นการใช้บริการรถไฟตู้นอน สามารถหาซื้อตั๋วรถไฟได้ตามโรงแรมหรือบริษัทที่เป็นตัวแทนจำหน่าย รถไฟจะออกจากฮานอยช่วงหัวค่ำ และมาถึงจังหวัดลาวไกตอนเช้า จากลาวไกต้องต่อรถตู้เพื่อเดินทางไปซาปาอีกราวๆ 1 ชั่วโมง
พลันที่ก้าวลงจากรถอากาศหนาวเย็นอันเป็นเอกลักษณ์ของซาปาก็เข้ามาทักทายผู้มาเยือนแทบจะในทันที ด้วยความที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,650 เมตร และเป็นดินแดนแห่งขุนเขาจึงทำให้ซาปาเป็นเมืองที่มีอากาศหนาวเย็นตลอดปี ยิ่งช่วงฤดูหนาวบางปีที่หนาวจัดที่นี่จะถูกปกคลุมด้วยหิมะ สร้างภาพงามที่หลายคนอยากมาสัมผัสด้วยตัวเอง
ในอดีตซาปาคือเมืองตากอากาศของเจ้านายชั้นสูงชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาปกครองเวียดนามในยุคอาณานิคม แต่ความจริงเมืองและผู้คนต่างตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่มาก่อนที่ชาวตะวันตกจะเดินทางมาพบ ซึ่งทุกวันนี้เรายังคงได้เห็นร่องรอยของเจ้าอาณานิคมที่ทิ้งไว้ ทั้งสถาปัตยกรรมของอาคารบ้านเรือนและการวางผังเมืองแบบเฟรนช์โคโลเนียล และที่โดดเด่นเห็นจะเป็น “โบสถ์คาทอลิก” เก่าแก่กลางเมืองที่ยังใช้งานมาถึงปัจจุบัน
จากเมืองตากอากาศสมัยอาณานิคมนานวันเข้าซาปาก็กลายเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวมากขึ้น ทั้งชาวเวียดนามเองที่มักจะหาเวลาในช่วงวันหยุดมาพักผ่อนที่นี่ รวมถึงนักท่องเที่ยวชาติต่างๆ ด้วยเช่นกัน
เมื่อมีการขยายตัวด้านการท่องเที่ยว สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ นานา ทั้งโรงแรมที่พักหลายระดับ ร้านอาหารหลากสัญชาติ รวมถึงร้านอาหารท้องถิ่น ผับบาร์ ร้านกาแฟ บริษัททัวร์ และแหล่งชอปปิ้ง จึงเกิดขึ้นเป็นเงาตามตัวเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เพิ่มจำนวนขึ้น เรียกว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวเต็มรูปแบบเลยก็ว่าได้
จากทะเลสาบขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้กับจุดจอดรถ เดินไปตามถนนสายหลักของเมืองเรื่อยๆ จะพบกับอาคารสมัยใหม่อยู่สองข้างทาง ทั้งที่เป็นที่อยู่อาศัย โรงแรม ร้านอาหาร เดินไปเรื่อยๆ จนถึงลานกว้างกลางเมือง ด้านหนึ่งเป็นโบสถ์คาทอลิก ซึ่งถ้าเป็นเช้าวันอาทิตย์จะได้เห็นภาพชาวเขาเผ่าต่างๆ แต่งตัวตามแบบชนเผ่าพร้อมใจกันมาร่วมพิธีในโบสถ์อย่างแน่นขนัด
อีกด้านหนึ่งของลานกลางเมืองเป็นโซนขายอาหารเหมือนตลาดโต้รุ่ง ซึ่งในยามค่ำคืนจะครึกครื้นมากเป็นพิเศษ ยิ่งในช่วงอากาศหนาวๆ ได้นั่งกินอาหารประเภทปิ้งย่างซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ยิ่งได้บรรยากาศ
ที่ลานกว้างแห่งนี้เป็นเสมือนศูนย์กลางกิจกรรมของเมือง ความมีชีวิตชีวาเริ่มขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ ในขณะที่สายหมอกยังปกคลุมอยู่โดยรอบ ชาวเขาเริ่มนำแผงสินค้ามาตั้ง ส่วนใหญ่เป็นสินค้าหัตถกรรม อาทิ ผ้าทอ และเครื่องประดับ การซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าเริ่มต้นขึ้น บ้างก็จับกลุ่มกันเล่นกีฬา นักท่องเที่ยวมานั่งเสพบรรยากาศและเก็บภาพเป็นที่ระลึก บางคนก็กระโดดไปร่วมวงลงเล่นกีฬากับคนท้องถิ่น
การได้เดินดูตลาดชาวบ้านในสถานที่ที่เราไปเยือน เป็นการเพิ่มอรรถรสในการท่องเที่ยวได้อย่างดี และตลาดที่ซาปาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ตลาดขนาดใหญ่ สินค้าหลากหลายประเภท โดยเฉพาะผักและผลไม้เมืองหนาว ซึ่งปลูกได้ดีในแถบนี้ บรรยากาศคึกคักทั้งพ่อค้าแม่ค้าและนักท่องเที่ยวเดินกันขวักไขว่ ที่ผู้มาเยือนไม่น่าพลาด
เอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของซาปาคือ “นาขั้นบันได” ด้วยความที่เป็นเมืองแห่งขุนเขา การทำนาจึงต้องทำตามที่ลาดไหล่เขา ยิ่งในช่วงการเพาะปลูกเราจะได้เห็นภาพนาขั้นบันไดสีเขียวชอุ่มทอดตัวไปตามไหล่เขาอย่างมีเสน่ห์
จุดที่สามารถชมทิวทัศน์ของนาขั้นบันไดได้ดีคือ “หมู่บ้านกัตกัต (Cat Cat Village)” หมู่บ้านเก่าแก่ของชาวม้งที่อพยพมาจากประเทศจีน อยู่ห่างจากตัวเมืองซาปาเพียง 3 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาเที่ยวชมหมู่บ้านนี้ได้สะดวก จะเดินชมวิวมาเรื่อยๆ เช่ามอเตอร์ไซค์ขับเอง หรือจะใช้บริการของมอเตอร์ไซค์รับจ้างเลือกได้ตามอัธยาศัย
ถ้าต้องการชมวิวเมืองซาปาแบบพาโนราม่าให้เดินเลียบด้านข้างโบสถ์คาทอลิกกลางเมืองไปเรื่อยๆ ไม่ไกลนักจะเป็นทางเดินขึ้นภูเขาฮามรอง ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของเอกชน ต้องเสียค่าเข้าชมที่ไม่แพงมากนัก
ภาพที่ได้เห็นจากจุดชมวิวของที่นี่ ทำให้รู้ว่าทำไมเมืองนี้จึงได้ชื่อว่าเมืองแห่งสายหมอก โอกาสที่จะได้เห็นบ้านเรือนด้านล่างปราศจากหมอกปกคลุม ดูจะเป็นช่วงจังหวะที่หายากเสียจริงๆ เหมือนหญิงสาวขี้อายที่มักจะดึงผ้าปิดหน้าเพื่อหลบสายตาที่จ้องมองมาอย่างนั้นเลยจริงๆ
สำหรับผู้ชื่นชอบการเทรคกิ้งเป็นชีวิตจิตใจ หรืออยากทดสอบสมรรถภาพของร่างกาย “ยอดเขาฟานซีปัน (Fansipan)” ที่มีระดับความสูง 3,143 เมตรจากระดับน้ำทะเลรอคุณไปสัมผัส ยอดเขาฟานซีปันเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในแถบอินโดจีน จนได้รับสมญานามว่า “หลังคาแห่งอินโดจีน” เป็นที่ใฝ่ฝันของผู้ชื่นชอบการเดินป่าและปีนเขา ที่ต้องการเดินทางไปให้ถึงสักครั้งในชีวิต เพราะเส้นทางการเดินขึ้นสู่ยอดเขาฟานซีปันนั้นโหดใช่เล่น และดูเหมือนกิจกรรมนี้จะเป็นตัวดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี
อีกหนึ่งสถานที่ที่นักท่องเที่ยวเกือบทุกคนต้องบรรจุไว้ในโปรแกรมคือ การไปเยือน “ตลาดบัคฮา” ตลาดนัดที่รวมชาวเขาเผ่าต่างๆ มาชุมนุมซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันมากที่สุด ชนเผ่าต่างๆ ที่อยู่แถบนี้จะเดินทางมาเพื่อนำสินค้าของตนมาขายหรือซื้อของที่จำเป็นกลับไปยังหมู่บ้านของตน เรียกได้ว่าเป็นที่รวมชนเผ่าที่หลากหลายที่สุดก็ว่าได้
ที่ตลาดบัคฮาเราจะได้เห็นการแต่งกายของชนเผ่าที่หลากหลาย เพราะเขาจะแต่งกันเต็มที่ นักท่องเที่ยวนิยมมาชมวิถีชีวิตของชาวเขาเผ่าต่างๆ ที่นี่ นอกจากนั้นอาจจะได้สินค้าแฮนด์เมดจากชาวเขาติดไม้ติดมือกลับไปเป็นที่ระลึกอีกด้วย ตลาดบัคฮามีเฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้นและอยู่ห่างจากตัวเมืองซาปาพอสมควร
สถานที่ท่องเที่ยวในตัวเมืองซาปาแต่ละที่นั้นไม่ห่างกันนัก เราสามารถใช้วิธีการเดิน เช่ามอเตอร์ไซค์ขับเอง หรือใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้างก็สะดวกไม่น้อย มอเตอร์ไซค์รับจ้างที่นี่ไม่ใส่เสื้อวินเหมือนเมืองไทย แต่ไม่ต้องกังวลเพราะเขาจะขับมาเสนอบริการเราอยู่เรื่อยๆ หาไม่ยากเลยจริงๆ
ถ้าออกไปนอกเมืองหรือต้องการเทรคกิ้งขึ้นยอดเขาฟานซีปัน แนะนำให้ใช้บริการของเอเย่นต์ทัวร์ที่มีอยู่หลายบริษัท หลายกิจกรรมเลือกได้ตามความต้องการ
ซาปาในแต่ละฤดูกาลให้ภาพงามและบรรยากาศต่างกัน ช่วงการเพาะปลูก นาขั้นบันไดสีเขียวชอุ่มที่ทอดตัวเป็นชั้นๆ ตามลาดไหล่เขาชักชวนให้ผู้ชื่นชอบการถ่ายภาพกดชัตเตอร์เก็บความงามไว้เป็นที่ระลึก ฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้ผลิดอกสร้างสีสันสดสวยตามธรรมชาติ ฤดูหนาวอากาศหนาวเย็นเต็มไปด้วยสายหมอกที่เป็นเอกลักษณ์ของที่นี่
ความหลากหลายของทิวทัศน์ บรรยากาศ และชาติพันธุ์ คือเสน่ห์ที่ทำหน้าเชื้อเชิญให้ใครหลายคนอยากพาตัวเองมาเยือน “ซาปาเมืองแห่งสายหมอก” แห่งนี้สักครั้ง และเป็นอีกหนึ่งเมืองใน AEC ที่เราอยากนำเสนอ