วันเสาร์, เมษายน 27, 2024
Home > Cover Story > ทะเลไทยทำเลทอง แม่เหล็กธุรกิจอสังหาฯ

ทะเลไทยทำเลทอง แม่เหล็กธุรกิจอสังหาฯ

พื้นที่ริมชายหาด เป็นทำเลหมายปองของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ เพราะไม่ว่าจะศักราชไหน ทำเลทองอย่างชายทะเลยังได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเสมอ นั่นเพราะทะเลไทยมักจะติดอันดับสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม และสวยติดอันดับโลกในหลายพื้นที่

ด้วยเหตุผลดังกล่าวส่งผลให้พื้นที่ชายหาดมักจะถูกเล็งไว้สำหรับพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ทั้งบ้านแนวราบ คอนโดมิเนียม หรือโรงแรม สิ่งที่ตามมาคือราคาซื้อขายที่ดินถูกปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น ที่ดินชายทะเลในจังหวัดภูเก็ต หลังสถานการณ์โควิดมีการปรับราคาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยที่ดินริมหาดราคาขายต่อไร่อยู่ที่ประมาณ 50-70 ล้านบาท ในขณะที่ทำเลอื่นๆ ที่อยู่ห่างทะเลไม่มากราคาขายอยู่ที่ 30-40 ล้านบาทต่อไร่

สถานการณ์โควิดที่ผ่านมาแม้ภูเก็ตจะได้รับผลกระทบจากการปิดเมือง รายได้จากการท่องเที่ยวซึ่งเป็นแหล่งเดียวมีค่าเท่ากับศูนย์ ทว่า ราคาที่ดินกลับเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าเมืองจะเงียบเหงาไปช่วงหนึ่งก็ไม่ทำให้ราคาที่ดินถูกปรับลดลงแต่อย่างใด

และภูเก็ตยังเป็นที่ต้องการของชาวต่างชาติที่มองหาบ้านหลังที่สอง เพื่อพักผ่อน หรือหนีภัยสงครามในกลุ่มลูกค้าชาวรัสเซีย ที่ยังคงหมายตาไข่มุกแห่งอันดามันนี้เป็นหมุดหมาย นอกจากนี้ ทะเลอันดามันยังขึ้นชื่อเรื่องความสวยงาม

นอกจากทะเลไทยในฝั่งอันดามันที่เนื้อหอมสำหรับนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แล้ว ทะเลฝั่งอ่าวไทยก็ได้รับความสนใจไม่ต่างกัน ด้วยพื้นที่ที่อยู่ใกล้ระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออกหรือ EEC เช่น พัทยา ที่มีศักยภาพและมีโอกาสเติบโตทางเศรษฐกิจ

เช่นที่ บันยัน ทรี กรุ๊ป เลือกปักหมุดลงใจกลางหาดจอมเทียน เปิดโครงการ Skypark Lucean Jomtien Pattaya ภายใต้การดูแลของ อุรดี กุลกีรติยุต กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลูนิค เรียลเอสเตท จำกัด “หาดจอมเทียน เป็นพื้นที่ยอดนิยมในเขตพัทยา มีธรรมชาติที่บริสุทธิ์ แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และตัวอาคารห่างจากหาดจอมเทียนเพียง 200 เมตร”

โครงการดังกล่าวมีกลุ่มเป้าหมายหลักอยู่ที่ชาวต่างชาติที่อาศัยหรือทำธุรกิจในไทย เช่น รัสเซีย จีน ยุโรป หรือลูกค้าชาวไทย ซึ่งมีทั้งซื้อเพื่ออยู่อาศัยและเพื่อการลงทุน ชายหาดทั้งฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทยล้วนแต่มีกลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน และในระยะหลังที่ลูกค้าจากรัสเซียให้ความสนใจโครงการที่อยู่อาศัยในไทยมากขึ้น มูลเหตุจากการหนีภัยสงครามเป็นหลัก โดยจังหวัดที่ได้รับความสนใจ ได้แก่ ภูเก็ต พังงา และ ชลบุรี

อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลที่น่าสนใจจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ที่ระบุว่า 5 ทำเลที่มีโครงการเสนอขายมากที่สุดในพื้นที่ 3 จังหวัด EEC ปี 2565 คือ อันดับ 1 หาดจอมเทียน จำนวน 7,671 หน่วย มูลค่าโครงการ 35,659 ล้านบาท อันดับ 2 พัทยา-เขาพระตำหนัก จำนวน 5,254 หน่วย มูลค่าโครงการ 29,490ล้านบาท อันดับ 3 แหลมฉบัง จำนวน 1,901 หน่วย มูลค่าโครงการ 3,487 ล้านบาท อันดับ 4 ศรีราชา-อัสสัมชัญ จำนวน 1,443หน่วย มูลค่าโครงการ 4,365 ล้านบาท และอันดับ 5 นิคมมาบตาพุด จำนวน 831 หน่วย มูลค่าโครงการ 2,043 ล้านบาท

สัญญาณจากปีที่ผ่านมา คือ มีการเปิดตัวโครงการอาคารชุดพักอาศัยในพื้นที่จังหวัดชลบุรี โดยมีจำนวนเพียง 882 หน่วย และมีการเปิดขายโครงการบ้านจัดสรรกระจายทั้ง 3 จังหวัดในEEC แสดงให้เห็นว่าโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบมีการฟื้นตัวมากกว่าโครงการอาคารชุด

อย่างไรก็ตาม โครงการอาคารชุดที่เสนอขายในพื้นที่ EEC มากกว่าร้อยละ 80 อยู่ในจังหวัดชลบุรี ซึ่งแน่นอนว่าผู้ประกอบการที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ยังต้องระมัดระวัง

ขณะที่ผู้ประกอบการที่เปิดโครงการในพื้นที่ดังกล่าวจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ ทั้งลดขนาดโครงการ ลดขนาดของบ้านและที่ดิน และจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อดึงดูดกำลังซื้อให้มากขึ้น

ปัจจัยที่ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเล็งเห็นศักยภาพพื้นที่ริมทะเลไทย โดยเฉพาะพัทยา น่าจะมาจากการเป็นพื้นที่ที่มีความพร้อมในหลายๆ ด้าน ทั้งการท่องเที่ยว ระบบสาธารณูปโภค เส้นทางคมนาคมที่มีทั้งรถไฟความเร็วสูง ท่าเทียบเรือ สนามบิน และมอเตอร์เวย์ ขณะที่พื้นที่ดังกล่าวยังได้รับการยอมรับจากนักลงทุน จากการผลักดันของภาครัฐตั้งแต่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยเฉพาะการลงทุนเมกะโปรเจกต์มากกว่า 10 โครงการ ที่มีมูลค่าหลายล้านล้านบาท

ปัจจัยแวดล้อมเหล่านี้ทำให้เหล่ากูรูด้านตลาดอสังหาริมทรัพย์มองว่า พื้นที่ในเขตพัทยารวมถึง EEC จะเอื้อต่อธุรกิจอสังหาฯ ซึ่งจะเป็นแรงกระตุ้นที่ดีให้ตลาดในโซนนี้กลับมาคึกคัก รวมถึงการที่เมืองพัทยาจะเดินหน้าสานต่อแผนยุทธศาสตร์พัทยาโฉมใหม่ หรือนีโอ พัทยา

อย่างไรก็ตาม พื้นที่ริมหาดทะเลไทยยังคงเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดลักชัวรี ทั้งจังหวัดภูเก็ตและชลบุรี  กระแสการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ ที่เพิ่มมากขึ้นอาจส่งผลต่อราคาขายที่ดินในอนาคต.