“ฮอกไกโด” โดนบุก
เมื่อวันคืนบนปฏิทินเริ่มเคลื่อนเข้าใกล้เดือนพฤศจิกายน ดูเหมือนว่าธุรกิจการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นก็กลับมามีชีวิตชีวาและเริ่มคึกคักขึ้นอีกครั้งเหมือนกันนะคะ ตามสถานีรถไฟ รวมถึงตัวแทนจำหน่ายบัตรโดยสารและโปรแกรมการท่องเที่ยวที่มีอยู่เกือบจะทุกห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ต่างออกมาประชันขันแข่งและเร่งระดมกระตุ้นให้ผู้คนเดินทางท่องเที่ยวกันขนานใหญ่ ซึ่งจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ต่อเนื่องไปถึงฤดูหนาว ก็คงต้องเป็นโปรแกรมที่มีไฮไลต์อยู่ที่การไปออนเซน แช่ตัวในบ่อน้ำพุร้อน หรือการเดินทางไปลุยหิมะเล่นสกีกันเลย ซึ่งฮอกไกโดดูจะเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในช่วงหน้าหนาวนี้อย่างยากที่จะหาจุดหมายปลายทางอื่น มาเทียบได้จริงๆ และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวก็ถือเป็นหัวใจหลักสำคัญในเชิงเศรษฐกิจสำหรับฮอกไกโดเลยทีเดียว เพราะกว่า 3 ใน 4 ของรายได้ที่ประชากรชาวฮอกไกโดได้รับล้วนเกี่ยวเนื่องกับภาคธุรกิจบริการจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั้งสิ้น แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่คนญี่ปุ่น หรือนักท่องเที่ยวจากเมืองไทย ที่หลงใหลมนต์เสน่ห์ของฮอกไกโด เพราะในวันนี้ฮอกไกโดกำลังโดนบุกและมีแนวโน้มจะถูกยึดไปทีละน้อยแล้วล่ะคะ เพราะจากตัวเลขสถิติล่าสุด ได้สร้างความหวั่นใจให้กับคณะผู้บริหารและปกครองฮอกไกโดพอสมควร ถึงขนาดที่ต้องออกกฎเกณฑ์ควบคุมการทำธุรกรรมสำหรับชาวต่างชาติไปด้วยในตัว เหตุที่มาแห่งความไม่สบายใจของชาวฮอกไกโด มาจากผลสำรวจในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งปรากฏว่าพื้นที่ป่าไม้กว่า 1,000 เฮกตาร์ ถ้าเทียบก็เท่ากับ 10 ตารางกิโลเมตร หรือ 6,250 ไร่ของฮอกไกโด ถูกถือครองโดยชาวต่างชาติมากถึง 57% และหากจำแนกลึกลงไปต้องบอกว่า 21% เป็นการถือครองโดยชาวจีนและบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศจีน เมื่อปรากฏตัวเลขอย่างนี้ ทำให้หน่วยราชการในฮอกไกโดต้องรับออกมาวางกฎเกณฑ์ใหม่ๆ เพื่อทำให้การเปลี่ยนมือถือครองที่ดินทำได้ช้าลง โดยเฉพาะประเด็นที่สงวนสิทธิให้หน่วยราชการสามารถ “ให้คำแนะนำ” ในการซื้อขายที่ดิน โดยเฉพาะในเขตที่มีพื้นที่ป่าไม้ และเส้นทางน้ำผ่าน การออกกฎเกณฑ์เช่นนี้ ในด้านหนึ่ง ทำให้ฮอกไกโดถูกจับตามองเหมือนกัน ว่ากำลังกีดกันทางการค้า และโต้ตอบท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์ระหว่างจีนและญี่ปุ่น ที่กำลังมีกรณีพิพาทว่าด้วยการอ้างสิทธิซ้ำซ้อนเหนือหมู่เกาะในทะเลจีน ที่ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันก็ยังไม่กระเตื้องขึ้น ประเด็นที่เกี่ยวเนื่องและมีความสำคัญมาก แต่อาจไม่ได้รับการหยิบยกออกมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน
Read More