ตลาดน้ำอัดลม ตลาดเครื่องดื่มที่สร้างกระแสความคึกคัก จากบรรดาค่ายๆ ที่เข็นเคมเปญ ออกมาสร้างสีสันให้กับตลาดอย่างต่อเนื่อง
จากมูลค่าตลาดรวมน้ำอัดลม 46,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นตลาดน้ำดำ 35,000 ล้านบาท ตามด้วยตลาดน้ำอัดลมสี 11,000 ล้านบาท และถึงแม้ว่า ตลาดน้ำดำจะมีฐานการตลาดที่ใหญ่กว่า แต่โดยภาพรวม ทั้งสองตลาดมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเติบโตในอัตราที่ใกล้เคียงกัน ทั้งนี้เป็นผลมาจากความต้องการของผู้บริโภคเดิม รวมถึงกลุ่มผู้บริโภคใหม่ๆ ที่เข้ามา โดยเฉพาะในตลาดของน้ำสีที่ถือเป็นตลาดที่มีการเติบโตสูง
คอสตาส เดลิอาลิส ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) ผู้ทำตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมโค้ก เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรก 2557 ส่วนแบ่งการตลาดน้ำอัดลมรวมสิ้นสุดเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บริษัทฯ มีส่วนแบ่งอยู่ที่ 58% เพิ่มขึ้นจาก 55% ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการตอกย้ำความเป็นเบอร์หนึ่ง ของตลาดน้ำอัดลม
ส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้น เนื่องจาการทำแคมเปญการตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงหน้าร้อน ที่น้ำอัดลมขายดิบขายดี และรวมถึงการออกเคมเปญจากการแข่งขันฟุตบอลโลกช่วงที่ผ่านมา
ล่าสุดเพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำของน้ำอัดลมสี แฟนต้าได้สร้างความคึกคักให้วงการตลาดน้ำอัดลมสี ด้วยการเปิดเคมเปญใหญ่แห่งปีซึ่งเป็นอีกแผนงานในครึ่งปีหลัง เพื่อกระตุ้นยอดขาย ภายใต้ แคมเปญ “แฟนต้าแพคซ่า ส่งสนุก เกรียนสนั่น” ตั้งเป้าจะช่วยขยายฐานลูกค้ากลุ่มวัยรุ่นตั้งแต่ 12 ปีขึ้นแบ่งพร้อมทั้งกระตุ้นให้เพิ่มความถี่ในการดื่ม โดยอยู่ภายใต้แนวคิดของการเติมสีสันและความสนุกให้ทุกวันของชีวิต อันเป็นแนวคิดหลักของแบรนด์
จุดเด่นแคมเปญนี้อยู่ที่แฟนต้า ได้นำกระแสกว่า 50 ข้อความโดนใจใน social network ของกลุ่มวัยรุ่น มาสร้างสรรค์ข้อความบนกระป๋อง และขวด PET ของแฟนต้า ไม่ว่าจะเป็นข้อความสนุกแบบแก๊งเพื่อน เช่น แซ่บอย่างเธอ ต้องเจอแฟนต้า หรือข้อความแสดงความรู้สึก “อยากเป็นรถไฟฟ้า ได้มาหาทุกห้านาที” หรีอข้อความไลฟ์สไตล์ วัยรุ่น “ถึงจะเกรียน แต่เรียนได้เกรด A” เป็นต้น
จากแนวคิดการสร้างสีสันจากวันธรรมดาให้มีสีสัน แฟนต้า ที่เสมือนเป็นทูต สื่อความรู้สึก ดีๆ ให้แก่ผู้รับ
อาจจะกล่าวได้ว่า แคมเปญนี้นับเป็นการต่อยอดแคมเปญระดับโลก แชร์ อะ โค้ก ที่นำชื่อมาพิมพ์ลงบรรจุภัณฑ์โค้กและประสบความสำเร็จอย่างมากจนเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ในปี 2556 ที่ผ่านมาและผลักดันยอดขายของโค้กให้เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมาก
และเป็นเคมเปญที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ กลุ่มเป้าหมายมาก โดยได้ประเดิมเปิดตัวในไทยเป็นแห่งแรกของโลก ก่อนที่จะขยายไปประเทศอื่นๆ ภายใต้เคมเปญเดียวกัน ในจำนวน 200 ประเทศทั่วโลกที่แฟนต้า เข้าไปทำตลาด แฟนต้าประเทศไทยจัดเป็นตลาดใหญ่อันดับ 4 ของโลก รองจากอเมริกา เม็กซิโก และโดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ที่ชอบความสนุก และรสชาติซ่าแบบมีกลิ่นผลไม้ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กวัยรุ่น อายุ 12 ปีขึ้นไป และเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
ทางด้านงบการตลาด แฟนต้าทุ่มงบลงทุนกว่า 120 ล้านบาท เพื่อจัดกิจกรรมการตลาดแบบครบวงจร ทั้งการเปิดตัวโฆษณาประชาสัมพันธ์ โดยผ่านศิลปินวัยรุ่น, การโฆษณาโทรทัศน์ และการเปิดตัวแฟนต้าสติกเกอร์ไลน์ เพื่อให้ลูกค้าดาวน์โหลด ผ่านไลน์ แอพพลิเคชั่น เพื่อไว้ส่งข้อความ
“เรามีความเข้าใจในวัยรุ่น แฟนต้าแบรนด์พูดภาษาเดียวกับวัยรุ่น ผมเชื่อมั่นว่าแคมเปญนี้จะตอกย้ำแฟนต้า ซ่าส์ แบบมีสีสัน ทั้งนี้ กลยุทธ์การทำตลาดเพื่อกระตุ้นตลาดน้ำอัดลมให้มีอัตราการเติบโต ต้องขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมใหม่โดยเฉพาะการสร้างสรรค์บรรจุภัณฑ์ผ่านไอเดียต่างๆการออกบรรจุภัณฑ์ใหม่เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้ทุกที่ทุกเวลาและโอกาสการดื่มซึ่งการนำข้อความมาพิมพ์ลงบรรจุภัณฑ์ถือว่าเป็นนวัตกรรมด้วยเช่นกัน” เดลิอาลิสกล่าว
ถือเป็นการตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายหลักของแฟนต้าทั่วโลก ที่จับกลุ่มวัยรุ่นอายุ 12 ปีขึ้นไป โดยแฟนต้าทำหน้าที่เสนอทางเลือกให้ลูกค้า โดยเน้น innovation หรือนวัตกรรม เป็นตัวขับเคลื่อน
ปัจจุบันแฟนต้าเป็นผู้นำตลาดน้ำสี ครองส่วนแบ่ง 76% จากมูลค่าตลาดน้ำสี 1.1 หมื่นล้านบาท ในขณะที่น้ำสีค่ายเป๊ปซี่ ครองส่วนแบ่งตลาดน้ำอัดลมสี เป็นอันดับ 2 ภายใต้ แบรนด์มิรินด้า น้ำแดง น้ำส้ม น้ำเขียว และล่าสุด ค่ายเป๊ปซี่ได้เปิดตัว เมาแทนดิว แบรนด์ที่เคยฮิตในอดีต และห่างหายไปจากเมืองไทย 20 ปี โดยออกมาในรูปโฉมขวดนีออนสีเขียวสะดุดตา พร้อมการจัดกิจกรรมการตลาด ภายใต้คอนเซ็ปต์ กล้าท้าลอง (Dare to Do) โดยหวังเจาะกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นไทยที่ชอบความท้าทาย ซึ่งสร้างความฮือฮาและได้รับความชื่นชอบจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี
ในขณะที่น้ำอัดลมน้องใหม่ เอส ของบริษัทเสริมสุข จำกัด (มหาชน) ที่พลิกวงการเครื่องดื่มไทย โดยสร้างแบรนด์ไทย เอส (est) พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ น้ำอัดลม ทั้งน้ำดำ น้ำสี ภายใต้กลยุทธ์แบรนด์เดียวออกลุยตลาด พร้อมออกเคมเปญมากมาย เอสลงสมรภูมิรบในตลาดน้ำสีพร้อมการทำตลาดเชิงรุกอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งช่วยผลักดันยอดขายรวมของเอสให้ขยับไปสู่เป้าหมายเบอร์ 2 ของตลาดน้ำอัดลม ซึ่งเกมบุกตลาดน้ำสีครั้งนี้จะช่วยเพิ่มความหลากหลายเติมเต็มในทุกช่องทางขาย
โดย ล่าสุด เสริมสุข ส่งเอส ฟรี น้ำอัดลมไร้น้ำตาล ไร้แคลอรี แบรนด์ไทยครั้งแรก ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ชีวิตอิสระสุดขั้ว” เพื่อหวังเจาะกลุ่มผู้รักสุขภาพ ออกสู่ตลาด เมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยเป็นกลยุทธ์หลักในครึ่งปีหลังเพื่อช่วยเติมเต็ม เอสโคล่า และเอส เฟลเวอร์ รสชาติต่างๆ ให้ครบครัน ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับเทรนด์สุขภาพ
ในขณะที่น้ำสี ‘บิ๊กโคล่า’ เป็นเครื่องดื่มน้ำอัดลมสัญชาติเปรู ได้ให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์มากขึ้น หลังจากทำตลาดในไทยมากว่า 6 ปี ภายใต้กลยุทธ์ราคาและปริมาณ ทำตลาดแบบป่าล้อมเมือง โดยปรับยุทธศาสตร์ด้านสถานที่จัดจำหน่ายโดยขยายตลาดจากร้านโชวห่วยมาเป็น (ModernTrade) ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ เช่น เซเว่น-อีเลฟเว่น โดยเฉพาะตลาดต่างจังหวัด ยังคงเป็นตลาดใหญ่ของแบรนด์บิ๊ก
ขณะที่ค่ายโค้กยังครองความเป็นเจ้าตลาดน้ำอัดลมอย่างเหนียวแน่น พร้อมทั้งออกกลยุทธ์และแคมเปญ การตลาดเพื่อเข้าถึงลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ในตลาดน้ำอัดลม ที่มีมูลค่าสูงและมีการเติบโตดี ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงในสมรภูมิน้ำอัดลมนี้